คดีอิลลูมินาติ : รู้จัก ณฐพร โตประยูร “นักร้อง” ผู้เขย่าอนาคตของพรรคอนาคตใหม่
คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่มี นุรักษ์ มาประณีต เป็นประธาน จะออกนั่งบัลลังก์เพื่ออ่านคำวินิจฉัยในคดีพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ถูกกล่าวหาว่ากระทำการล้มล้างการปกครอง ตามมาตรา 49 แห่งรัฐธรรมนูญ หรือที่รู้จักในนาม “คดีอิลลูมินาติ” ในเวลา 11.30 น. ของวันพรุ่งนี้ 20 ม.ค.
ถึงขณะนี้ชัดเจนแล้วว่า ภายในห้องพิจารณาคดี จะไม่มีเงาของผู้ถูกร้องทั้ง 4 ราย ตามที่ พรรณิการ์ วานิช โฆษก อนค. ออกมาเปิดเผยว่า แกนนำ และ ส.ส.อนค. ทั้งหมดจะร่วมรับฟังคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ณ ที่ทำการพรรค ถ.เพชรบุรี พร้อมเชิญชวนสมาชิกพรรคและประชาชนผู้สนับสนุนพรรค “สามารถเดินทางมาแสดงพลัง” ได้ที่สำนักงานใหญ่พรรค
อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่า อนค. จะส่งทนายความเป็นตัวแทนเข้ารับฟังการอ่านคำวินิจฉัยคดี
ขณะที่ ณฐพร โตประยูร ผู้ร้อง จะเดินทางถึงศาลรัฐธรรมนูญในเวลา 10.00 น.
- ปิยบุตร เปิดเวทีก่อนศาล รธน.วินิจฉัยคดีล้มล้างการปกครอง ลั่น “ไม่ใช่พวกปฏิกษัตริย์นิยม”
- ศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่ 21 ม.ค.
- เปิดคำร้องยุบพรรคและตัดสิทธิเลือกตั้ง ธนาธร-ปิยบุตร ข้อหาล้มล้างการปกครองฯ
ไม่ถึง 24 ชม. สุดท้ายก่อนวันตัดสินคดีสำคัญ ณฐพรกล่าวกับบีบีซีไทยว่าไม่ว่าผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะออกมาอย่างไร เขารับได้หมด ไม่โกรธเคืองอะไรใครทั้งสิ้น เพราะไม่มีเจตนากลั่นแกล้งพรรคอนาคตใหม่ตั้งแต่ต้น
“ผมเพียงแต่ต้องการเตือนให้เขาหยุดพฤติกรรม และให้สังคมไทยช่วยกันระวังว่ามีนักการเมืองแบบเกิดขึ้นในประเทศไทยแล้วนะ” ณฐพรระบุ
ต่อไปนี้เป็นบางแง่มุมความคิดและชีวิตของ “นักร้อง” วัย 70 ปี ผู้เขย่าอนาคตของพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งบีบีซีไทยสรุปปากคำของเขาผ่านบทสนทนาทางโทรศัพท์
ทนไม่ได้ที่คน “ด่าบิดา-มารดา”
ณฐพรดูจะไม่พึงใจนักกับการได้รับสมญา “นักร้องอาชีพ” จากบรรดาแกนนำและผู้สนับสนุนพรรคสีส้ม พร้อมยืนยันว่าไม่เคยรับใบสั่งจากรัฐบาล หรือมีใครแอบแฝงให้มาเคลื่อนไหวในคดียุบ อนค. เพราะเขาไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคใด ไม่ประสงค์มีตำแหน่งทางการเมือง ขนาดมีพรรคการเมืองติดต่อขอให้ช่วยแก้ข้อกล่าวหาทางคดีก็ไม่รับเพราะไม่อยากยุ่ง กรรมาธิการ (กมธ.) วุฒิสภาเชิญไปเป็นที่ปรึกษาก็ไม่ไป อีกทั้งไม่รู้จักทั้ง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้า อนค., ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการ อนค. และ พรรณิการ์ วานิช โฆษก อนค. เป็นการส่วนตัว
“ความรู้สึกผมคือ สถาบันพระมหากษัตริย์เปรียบเหมือนบิดา-มารดาของเรา ใครมาด่าว่าบิดา-มารดาเรา เราก็ย่อมทนไม่ได้ พรรคการเมืองไทยมีตั้ง 80 พรรค พรรคอื่น ผมไม่แตะต้องเลย แต่นี่ต้องทำในฐานะคนไทย เพราะติดตามพฤติกรรมมานานแล้ว”
เขายืนยันด้วยว่า ไม่เคยพบบุคคลหลายคนที่ติดตามความเคลื่อนไหวของ อนค. และแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ก่อนมาปรากฏเป็นหลักฐานประกอบคำร้องในคดียุบพรรคของเขา โดยเฉพาะ สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มธ.
พิมพ์นามบัตรเป็น “กุนซือ” สารพัดหน่วยงาน
ณฐพรอ้างถึงหน้าที่ของบุคคล ตามมาตรา 50 ของรัฐธรรมนูญ ที่ต้อง “พิทักษ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตย” จึงยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาดีอิลลูมินาติ
ขณะเดียวกันเขายังบรรยายถึง “หน้าที่ที่เคยปฏิบัติ” ประกอบคำร้องที่ยื่นต่อสำนักงานอัยการสูงสุดและศาลรัฐธรรมนูญไว้ว่าเคยเป็น “ที่ปรึกษาแก่ผู้ตรวจการแผ่นดินและประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 6 ปี” ก่อนเฉลยกับบีบีซีไทยว่าได้เข้าไปนั่งเป็นที่ปรึกษาผู้ตรวจฯชุด ศรีราชา วงศารยางกูร ระหว่างปี 2553-2559 นั่นเอง
ที่องค์กรอิสระแห่งนี้เองที่ทำให้ณฐพรได้ฝึกปรือการเขียน “คำร้อง” และไม่ใช่ “ใบปลิว”
“ผมเขียนสำนวนมา 6 ปี ทำหลักฐานมาตลอดตอนเป็นที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน คุณต้องเข้าใจว่าเจตนาของมนุษย์เป็นเรื่องนามธรรม จึงต้องเอาข้อมูลความคิดตั้งแต่อดีตไล่มาถึงปัจจุบัน เชื่อมโยงให้เห็นภาพ ไม่ใช่ว่าผมตัดแปะเอกสารอย่างที่คุณปิยบุตรพูดถึง เพราะถ้าย้อนศึกษาความคิดของคุณธนาธร คุณปิยบุตร ก็จะรู้ว่าความหมายของการประกาศทำภารกิจคณะราษฎร 2475 ให้สำเร็จ เขามีเจตนาอะไร”
นอกจากนี้ผู้ตรวจการแผ่นดิน ณฐพรยังพิมพ์นามบัตรเป็น “กุนซือ” อีกสารพัดหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็น ที่ปรึกษาผู้ตรวจเงินแผ่นดิน, ที่ปรึกษากรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ), ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การสื่อสารมวลชน การวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสารสนเทศ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ฯลฯ
ยังไม่นับการเป็นกรรมการร่างกฎหมายของส่วนราชการต่าง ๆ อาทิ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ กระทรวงกลาโหม
เป็นศิษย์พี่ร่วมสำนักทั้ง ธนาธร-ปิยบุตร สะสมหนังสือกว่าหมื่นเล่ม
ก่อนมาถึงวันนี้ ณฐพรบอกว่าเขามีปริญญาบัตรรวมกัน 12 ใบจากการสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี โท และเอกของสถาบันต่าง ๆ จนมีคำนำหน้าชื่อว่า “ด๊อกเตอร์” ซึ่งเจ้าตัวยืนยันว่า “เรียนจริง จบจริง รับปริญญาจริง” อาทิ ปริญญาเอกสาขากฎหมาย ม.รามคำแหง, ปริญญาโทสาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ปริญญาโทสาขาพัฒนาสังคม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า), ปริญญาโทสาขาวิชาการบริหารงานยุติธรรม คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์, ปริญญาโทสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ม.เกษตรศาสตร์
ณฐพรจึงเรียกตัวเองว่าเป็น “รุ่นพี่” ของธนาธรที่เศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาฯ และอาจารย์ร่วมสำนักธรรมศาสตร์กับปิยบุตร แต่สอนต่างคณะ โดยณฐพรบอกว่าเขาเคยได้รับเชิญให้เป็นอาจารย์พิเศษของคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ซึ่งเขาจบการศึกษามาในปี 2549 นั่นเอง
“เราเป็นนักกฎหมาย ต้องอ่านหนังสือเยอะ ไหนจะต้องทำวิทยานิพนธ์อีก ผมนี่นักอ่านตัวยง ไม่ใช่อ่านเล่น ๆ นะ ห้องหนังสือผมน่าจะมีหนังสือสะสมไว้ไม่ต่ำกว่าหมื่นเล่มได้มั้ง”
ขณะที่ธนาธรเคยแจ้งรายการทรัพย์สินเป็นหนังสือจำนวน 2,000 เล่ม มูลค่า 1 ล้านบาท ส่วนนายปิยบุตรมีหนังสือ 2,500 เล่ม มูลค่า 1.25 ล้านบาท ในคราวยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
- “สถานีต่อไป” ของ ธนาธร-ปิยบุตร-ชาวอนาคตใหม่ หลังคดียุบพรรค
- กระดุม 5 เม็ดของอนาคตใหม่ กับปณิธานใหม่ขอเป็น “พรรคที่เล่นการเมืองน้อยที่สุด”
แม้นิยามตัวเองเป็น “คนรุ่นก่อน” แต่ณฐพรก็เป็น “แฟนประจำ” ตามอ่านหนังสือของปิยบุตรเน้น ๆ 4-5 เล่ม โดยเฉพาะหนังสือ “ราชมัลลงทัณฑ์ บัลลังก์ปฏิรูป” จึงสามารถนำมาเขียนลงคำร้องบรรยายพฤติกรรมผู้ถูกร้องได้
เขาบอกว่า อาชีพแรกของเขาคือทนายความ แต่ไม่ค่อยได้ขึ้นศาลมากนัก แต่คดีดังที่ทำ แต่ไม่อยากพูดมากก็คือการร่วมเป็นทีมทนายความ “เครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ” ต่อสู้คดีช่วยเหลือ 3 คนไทยที่ติดคุกที่ประเทศกัมพูชา เมื่อปี 2554
นอกจากนี้ ณฐพรยังเคยเปิดร้านอาหารไทยในเยอรมนีสมัยหนุ่ม ๆ ซึ่งเป็นเข้าฝึกอบรมระยะสั้น และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้รู้จักและศึกษาเรื่องราวขององค์กรลับ “อิลลูมินาติ” แล้วนำมาเชื่อมโยงว่า อนค. มีแนวคิดแบบเดียวกับองค์กรใต้ดินแห่งนี้
ถูกลูกต่อต้าน หลังยื่นคำร้องให้ศาลสั่งยุบ อนค.
ก่อนหน้านี้ เขาบอกว่า เคยถูกลูกในไส้ 2 คนต่อต้านพ่อตัวเอง เพราะไม่เข้าใจ กระทั่งณฐพรต้องเอาข้อมูลเอกสารไปอธิบายทีละข้อ ๆ ให้ดูทีละข้อกล่าวหา แจกแจงความหมายของคำว่า “ปฏิกษัตริย์นิยม” คืออะไร ลูกจึงเข้าใจในสิ่งที่ทำ และก็ไปช่วยอธิบายต่อให้เพื่อน ๆ ของเขา
“ลูกผมยังเป็นวัยรุ่น 2 คน ก็ดูโซเชียลมีเดีย มีเจ้าลูกชายเรียน ม.ธรรมศาสตร์ เขาบอกจะไปเปลี่ยนนามสกุล เลิกใช้นามสกุลพ่อแล้ว” เขาย้อนความหลังที่เกิดขึ้นไม่นาน พลางหัวเราะเล็ก ๆ
เช่นเดียวกับภรรยาของเขาที่ตำหนิว่า “หาเรื่องใส่ตัว ไม่คุยกับผมอยู่เป็นสัปดาห์ เพราะไม่อยากให้ไปยุ่งย่ามกับการเมือง” ก็เป็นสิ่งที่เขาต้องอธิบายอยู่เหมือนกัน
แต่แล้วความกังวลใจของภรรยาก็เริ่มมีน้ำหนัก จน “นักร้องวัย 70 ปี” ต้องโร่ไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันในวันนี้ (20 ม.ค.) หลังได้รับโทรศัพท์จากเบอร์โทรแปลก ๆ ที่โทรมาข่มขู่และด่าทอ ซึ่งส่วนตัวไม่ได้หวาดกลัวอะไร แต่มีเลขานุการ 2 คนที่เป็นสุภาพสตรี ก็เลยพาไปลงบันทึกประจำวันไว้เพื่อความสบายใจ
เมื่อบีบีซีไทยซักถามถึงข้อความหรือรูปแบบการข่มขู่/ต่อว่าอย่างไร เจ้าตัวบ่ายเบี่ยงจะให้คำตอบที่ชัดเจน
อย่างไรก็ตาม เขาบอกว่า ทุกวันนี้ “ยังกินอิ่ม นอนหลับสบายดี สวดมนต์ไหว้พระทุกวัน” ไม่มีอะไรผิดแผกไป