โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

คดีอิลลูมินาติ : รู้จัก ณฐพร โตประยูร “นักร้อง” ผู้เขย่าอนาคตของพรรคอนาคตใหม่

Khaosod

อัพเดต 20 ม.ค. 2563 เวลา 15.22 น. • เผยแพร่ 20 ม.ค. 2563 เวลา 15.22 น.
_110575642_img_2657-c4a5709ef60348cb45ca8fa66f3ee2bae0282217

คดีอิลลูมินาติ : รู้จัก ณฐพร โตประยูร “นักร้อง” ผู้เขย่าอนาคตของพรรคอนาคตใหม่

คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่มี นุรักษ์ มาประณีต เป็นประธาน จะออกนั่งบัลลังก์เพื่ออ่านคำวินิจฉัยในคดีพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ถูกกล่าวหาว่ากระทำการล้มล้างการปกครอง ตามมาตรา 49 แห่งรัฐธรรมนูญ หรือที่รู้จักในนาม “คดีอิลลูมินาติ” ในเวลา 11.30 น. ของวันพรุ่งนี้ 20 ม.ค.

ถึงขณะนี้ชัดเจนแล้วว่า ภายในห้องพิจารณาคดี จะไม่มีเงาของผู้ถูกร้องทั้ง 4 ราย ตามที่ พรรณิการ์ วานิช โฆษก อนค. ออกมาเปิดเผยว่า แกนนำ และ ส.ส.อนค. ทั้งหมดจะร่วมรับฟังคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ณ ที่ทำการพรรค ถ.เพชรบุรี พร้อมเชิญชวนสมาชิกพรรคและประชาชนผู้สนับสนุนพรรค “สามารถเดินทางมาแสดงพลัง” ได้ที่สำนักงานใหญ่พรรค

อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่า อนค. จะส่งทนายความเป็นตัวแทนเข้ารับฟังการอ่านคำวินิจฉัยคดี

ขณะที่ ณฐพร โตประยูร ผู้ร้อง จะเดินทางถึงศาลรัฐธรรมนูญในเวลา 10.00 น.

ไม่ถึง 24 ชม. สุดท้ายก่อนวันตัดสินคดีสำคัญ ณฐพรกล่าวกับบีบีซีไทยว่าไม่ว่าผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะออกมาอย่างไร เขารับได้หมด ไม่โกรธเคืองอะไรใครทั้งสิ้น เพราะไม่มีเจตนากลั่นแกล้งพรรคอนาคตใหม่ตั้งแต่ต้น

“ผมเพียงแต่ต้องการเตือนให้เขาหยุดพฤติกรรม และให้สังคมไทยช่วยกันระวังว่ามีนักการเมืองแบบเกิดขึ้นในประเทศไทยแล้วนะ” ณฐพรระบุ

ต่อไปนี้เป็นบางแง่มุมความคิดและชีวิตของ “นักร้อง” วัย 70 ปี ผู้เขย่าอนาคตของพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งบีบีซีไทยสรุปปากคำของเขาผ่านบทสนทนาทางโทรศัพท์

ทนไม่ได้ที่คน “ด่าบิดา-มารดา”

ณฐพรดูจะไม่พึงใจนักกับการได้รับสมญา “นักร้องอาชีพ” จากบรรดาแกนนำและผู้สนับสนุนพรรคสีส้ม พร้อมยืนยันว่าไม่เคยรับใบสั่งจากรัฐบาล หรือมีใครแอบแฝงให้มาเคลื่อนไหวในคดียุบ อนค. เพราะเขาไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคใด ไม่ประสงค์มีตำแหน่งทางการเมือง ขนาดมีพรรคการเมืองติดต่อขอให้ช่วยแก้ข้อกล่าวหาทางคดีก็ไม่รับเพราะไม่อยากยุ่ง กรรมาธิการ (กมธ.) วุฒิสภาเชิญไปเป็นที่ปรึกษาก็ไม่ไป อีกทั้งไม่รู้จักทั้ง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้า อนค., ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการ อนค. และ พรรณิการ์ วานิช โฆษก อนค. เป็นการส่วนตัว

“ความรู้สึกผมคือ สถาบันพระมหากษัตริย์เปรียบเหมือนบิดา-มารดาของเรา ใครมาด่าว่าบิดา-มารดาเรา เราก็ย่อมทนไม่ได้ พรรคการเมืองไทยมีตั้ง 80 พรรค พรรคอื่น ผมไม่แตะต้องเลย แต่นี่ต้องทำในฐานะคนไทย เพราะติดตามพฤติกรรมมานานแล้ว”

เขายืนยันด้วยว่า ไม่เคยพบบุคคลหลายคนที่ติดตามความเคลื่อนไหวของ อนค. และแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ก่อนมาปรากฏเป็นหลักฐานประกอบคำร้องในคดียุบพรรคของเขา โดยเฉพาะ สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มธ.

พิมพ์นามบัตรเป็น “กุนซือ” สารพัดหน่วยงาน

ณฐพรอ้างถึงหน้าที่ของบุคคล ตามมาตรา 50 ของรัฐธรรมนูญ ที่ต้อง “พิทักษ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตย” จึงยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาดีอิลลูมินาติ

ขณะเดียวกันเขายังบรรยายถึง “หน้าที่ที่เคยปฏิบัติ” ประกอบคำร้องที่ยื่นต่อสำนักงานอัยการสูงสุดและศาลรัฐธรรมนูญไว้ว่าเคยเป็น “ที่ปรึกษาแก่ผู้ตรวจการแผ่นดินและประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 6 ปี” ก่อนเฉลยกับบีบีซีไทยว่าได้เข้าไปนั่งเป็นที่ปรึกษาผู้ตรวจฯชุด ศรีราชา วงศารยางกูร ระหว่างปี 2553-2559 นั่นเอง

ที่องค์กรอิสระแห่งนี้เองที่ทำให้ณฐพรได้ฝึกปรือการเขียน “คำร้อง” และไม่ใช่ “ใบปลิว”

“ผมเขียนสำนวนมา 6 ปี ทำหลักฐานมาตลอดตอนเป็นที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน คุณต้องเข้าใจว่าเจตนาของมนุษย์เป็นเรื่องนามธรรม จึงต้องเอาข้อมูลความคิดตั้งแต่อดีตไล่มาถึงปัจจุบัน เชื่อมโยงให้เห็นภาพ ไม่ใช่ว่าผมตัดแปะเอกสารอย่างที่คุณปิยบุตรพูดถึง เพราะถ้าย้อนศึกษาความคิดของคุณธนาธร คุณปิยบุตร ก็จะรู้ว่าความหมายของการประกาศทำภารกิจคณะราษฎร 2475 ให้สำเร็จ เขามีเจตนาอะไร”

ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค บรรยายถึงนายพลผู้ก่อรัฐประหารทำลายการเมืองไทย
ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค บรรยายถึงนายพลผู้ก่อรัฐประหารทำลายการเมืองไทย

นอกจากนี้ผู้ตรวจการแผ่นดิน ณฐพรยังพิมพ์นามบัตรเป็น “กุนซือ” อีกสารพัดหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็น ที่ปรึกษาผู้ตรวจเงินแผ่นดิน, ที่ปรึกษากรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ), ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การสื่อสารมวลชน การวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสารสนเทศ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ฯลฯ

ยังไม่นับการเป็นกรรมการร่างกฎหมายของส่วนราชการต่าง ๆ อาทิ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ กระทรวงกลาโหม

เป็นศิษย์พี่ร่วมสำนักทั้ง ธนาธร-ปิยบุตร สะสมหนังสือกว่าหมื่นเล่ม

ก่อนมาถึงวันนี้ ณฐพรบอกว่าเขามีปริญญาบัตรรวมกัน 12 ใบจากการสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี โท และเอกของสถาบันต่าง ๆ จนมีคำนำหน้าชื่อว่า “ด๊อกเตอร์” ซึ่งเจ้าตัวยืนยันว่า “เรียนจริง จบจริง รับปริญญาจริง” อาทิ ปริญญาเอกสาขากฎหมาย ม.รามคำแหง, ปริญญาโทสาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ปริญญาโทสาขาพัฒนาสังคม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า), ปริญญาโทสาขาวิชาการบริหารงานยุติธรรม คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์, ปริญญาโทสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ม.เกษตรศาสตร์

ณฐพรจึงเรียกตัวเองว่าเป็น “รุ่นพี่” ของธนาธรที่เศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาฯ และอาจารย์ร่วมสำนักธรรมศาสตร์กับปิยบุตร แต่สอนต่างคณะ โดยณฐพรบอกว่าเขาเคยได้รับเชิญให้เป็นอาจารย์พิเศษของคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ซึ่งเขาจบการศึกษามาในปี 2549 นั่นเอง

“เราเป็นนักกฎหมาย ต้องอ่านหนังสือเยอะ ไหนจะต้องทำวิทยานิพนธ์อีก ผมนี่นักอ่านตัวยง ไม่ใช่อ่านเล่น ๆ นะ ห้องหนังสือผมน่าจะมีหนังสือสะสมไว้ไม่ต่ำกว่าหมื่นเล่มได้มั้ง”

ขณะที่ธนาธรเคยแจ้งรายการทรัพย์สินเป็นหนังสือจำนวน 2,000 เล่ม มูลค่า 1 ล้านบาท ส่วนนายปิยบุตรมีหนังสือ 2,500 เล่ม มูลค่า 1.25 ล้านบาท ในคราวยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

แม้นิยามตัวเองเป็น “คนรุ่นก่อน” แต่ณฐพรก็เป็น “แฟนประจำ” ตามอ่านหนังสือของปิยบุตรเน้น ๆ 4-5 เล่ม โดยเฉพาะหนังสือ “ราชมัลลงทัณฑ์ บัลลังก์ปฏิรูป” จึงสามารถนำมาเขียนลงคำร้องบรรยายพฤติกรรมผู้ถูกร้องได้

เขาบอกว่า อาชีพแรกของเขาคือทนายความ แต่ไม่ค่อยได้ขึ้นศาลมากนัก แต่คดีดังที่ทำ แต่ไม่อยากพูดมากก็คือการร่วมเป็นทีมทนายความ “เครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ” ต่อสู้คดีช่วยเหลือ 3 คนไทยที่ติดคุกที่ประเทศกัมพูชา เมื่อปี 2554

นอกจากนี้ ณฐพรยังเคยเปิดร้านอาหารไทยในเยอรมนีสมัยหนุ่ม ๆ ซึ่งเป็นเข้าฝึกอบรมระยะสั้น และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้รู้จักและศึกษาเรื่องราวขององค์กรลับ “อิลลูมินาติ” แล้วนำมาเชื่อมโยงว่า อนค. มีแนวคิดแบบเดียวกับองค์กรใต้ดินแห่งนี้

ถูกลูกต่อต้าน หลังยื่นคำร้องให้ศาลสั่งยุบ อนค.

ก่อนหน้านี้ เขาบอกว่า เคยถูกลูกในไส้ 2 คนต่อต้านพ่อตัวเอง เพราะไม่เข้าใจ กระทั่งณฐพรต้องเอาข้อมูลเอกสารไปอธิบายทีละข้อ ๆ ให้ดูทีละข้อกล่าวหา แจกแจงความหมายของคำว่า “ปฏิกษัตริย์นิยม” คืออะไร ลูกจึงเข้าใจในสิ่งที่ทำ และก็ไปช่วยอธิบายต่อให้เพื่อน ๆ ของเขา

“ลูกผมยังเป็นวัยรุ่น 2 คน ก็ดูโซเชียลมีเดีย มีเจ้าลูกชายเรียน ม.ธรรมศาสตร์ เขาบอกจะไปเปลี่ยนนามสกุล เลิกใช้นามสกุลพ่อแล้ว” เขาย้อนความหลังที่เกิดขึ้นไม่นาน พลางหัวเราะเล็ก ๆ

เช่นเดียวกับภรรยาของเขาที่ตำหนิว่า “หาเรื่องใส่ตัว ไม่คุยกับผมอยู่เป็นสัปดาห์ เพราะไม่อยากให้ไปยุ่งย่ามกับการเมือง” ก็เป็นสิ่งที่เขาต้องอธิบายอยู่เหมือนกัน

แต่แล้วความกังวลใจของภรรยาก็เริ่มมีน้ำหนัก จน “นักร้องวัย 70 ปี” ต้องโร่ไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันในวันนี้ (20 ม.ค.) หลังได้รับโทรศัพท์จากเบอร์โทรแปลก ๆ ที่โทรมาข่มขู่และด่าทอ ซึ่งส่วนตัวไม่ได้หวาดกลัวอะไร แต่มีเลขานุการ 2 คนที่เป็นสุภาพสตรี ก็เลยพาไปลงบันทึกประจำวันไว้เพื่อความสบายใจ

เมื่อบีบีซีไทยซักถามถึงข้อความหรือรูปแบบการข่มขู่/ต่อว่าอย่างไร เจ้าตัวบ่ายเบี่ยงจะให้คำตอบที่ชัดเจน

อย่างไรก็ตาม เขาบอกว่า ทุกวันนี้ “ยังกินอิ่ม นอนหลับสบายดี สวดมนต์ไหว้พระทุกวัน” ไม่มีอะไรผิดแผกไป

youtube
0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0