โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

คดีปริศนาฆาตกรล่าหัว ‘คิงส์ เบอรีรัน’

Horrorism

อัพเดต 10 มี.ค. 2563 เวลา 00.00 น. • เผยแพร่ 10 มี.ค. 2563 เวลา 07.40 น. • Horrorism

 

  

       ช่วงเวลาปี 1935-1938 ภายในระยะเวลาเพียง 4 ปี ที่ลำน้ำคิงส์เบอรีรัน เมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา มีคนถูกฆาตกรรมมากถึงจำนวน 12 ราย

       วันที่ 5 กันยายน ปี 1934 ชายหนุ่มคนหนึ่งได้เดินเล่นอยู่ที่ริมชายฝั่งของทะเลสาบอีรี และบังเอิญไปพบเข้ากับร่างของมนุษย์ร่างหนึ่ง ในทีแรกเขาไม่มั่นใจมากนักว่าใช่ร่างกายของมนุษย์หรือไม่ เพราะมันแทบจะไม่เหลือเค้าโครงของความเป็นมนุษย์อยู่เลย ชายหนุ่มผู้นั้นตัดสินใจแจ้งตำรวจเพื่อให้มาตรวจสอบว่าสิ่งนั้นคืออะไรกันแน่

       ตำรวจพบว่าร่างที่นอนทอดยาวอยู่นั้นมีเพียงแค่ช่วงตัวด้านล่าง บริเวณผิวหนังมีรอยแผลจากการถูกสารเคมีเป็นสีแดง ๆ เมื่อสัมผัสจะมีความเหนียวข้น ศพนี้ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นใคร มาจากไหน และหน้าตาเป็นอย่างไร เพราะไม่มีใครเคยได้พบบริเวณช่วงเอวของศพขึ้นไปเลย สมญานามของศพนี้ได้ชื่อว่าLady of the Lake หากแต่ศพนี้ไม่ได้พบที่คิงส์เบอรีรัน แต่ตำรวจเชื่อว่าฆาตกรน่าจะเป็นคนเดียวกัน…

       หนึ่งปีนับจากเหตุการณ์ Lady of the Lake ผ่านมาจนถึงวันที่ 23 กันยายน ปี 1935 ชายสองคนพบส่วนลำตัวของมนุษย์นอนราบอยู่ที่เชิงเขา Jackass Hill แถบลำน้ำคิงส์เบอรีรัน จากการตรวจสอบของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่าส่วนศีรษะของชายคนดังกล่าวหายไป เมื่อตรวจสอบจากลายนิ้วมือพบว่าชายคนนี้มีชื่อว่าเอ็ดเวิร์ด แอนเดรสซี่ อายุ 28 ปี เขาเคยถูกจับกุมอยู่บ่อยครั้งในข้อหามึนเมาทะเลาะวิวาท ค่อนข้างเสเพลและไม่มีงานทำ และเอ็ดเวิร์ดก็อาศัยอยู่ในแถบลำน้ำคิงส์เบอรีรันด้วย

 

รูปภาพประกอบ : เอ็ดเวิร์ด แอนเดรสซี่ อายุ 28 ปี

 

 

รูปภาพประกอบ : ร่างของเอ็ดเวิร์ด แอนเดรสซี่

 

       ศพรายที่สองเป็นเพศชายถูกพบที่เชิงเขา Jackass Hill เช่นเดียวกับศพแรก แต่ไม่สามารถระบุว่าเป็นใคร มาจากไหน ตำรวจไม่พบส่วนศีรษะ บริเวณผิวหนังของศพคล้ายถูกสารเคมีเปื้อนเป็นสีแดง และหากสัมผัสก็จะมีความเหนียว ๆ ข้น ๆ ซึ่งมันคล้ายกันศพของ Lady of the Lake ที่เจอเมื่อปีก่อน

 

รูปภาพประกอบ : นักวิจัยกำลังพิจารณาชิ้นส่วนของผู้เสียชีวิต

 

รูปภาพประกอบ : นักวิจัยตรวจสอบกระดูกของเหยื่อผู้เสียชีวิต

 

       26 มกราคม ปี 1936 มีคนถูกฆาตกรรมอีกครั้ง ตำรวจตรวจสอบลายนิ้วมือที่มือขวาของเธอจึงได้รู้ว่าเธอชื่อ ฟลอเรนซ์ โพลิลโล ประกอบอาชีพเป็นเด็กเสิร์ฟและโสเภณี ร่างกายของเธอถูกหั่นออกเป็นชิ้น ๆ ส่วนศีรษะหายไปเช่นเดียวกันกับศพอื่น ๆ และเช่นเคย ตำรวจยังไม่สามารถตามจับฆาตกรได้

 

รูปภาพประกอบ : ฟลอเรนซ์ โพลิลโล เหยื่อรายที่ 3

 

       ช่วงระยะเวลาที่หนังสือพิมพ์ทำข่าวเกี่ยวกับการฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในลำน้ำคิงส์เบอรีรัน และฆาตกรได้หั่นศีรษะของเหยื่อทุกรายนั้น สร้างความกดดันให้กับทางตำรวจอยู่ไม่น้อย ทางอีเลียต เนส ที่ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการความปลอดภัยสาธารณะแห่งคลีฟแลนด์ (Public Safety Director of Cleveland) อันเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจหน้าที่เหนือฝ่ายตำรวจรวมถึงฝ่ายดับเพลิงด้วย ได้เข้ามาช่วยสืบค้นคดีการฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในเมืองคลีฟแลนด์ด้วย

 

 อีเลียต เนส

 

       ศพที่ 4 ถูกพบอีกครั้งในวันที่ 5 มิถุนายน ปี 1936 ทางตำรวจไม่พบชิ้นส่วนต่าง ๆ บนร่างกายของผู้เสียชีวิต ตำรวจระบุว่าศพนี้เป็นเพศชาย เนื่องจากไม่พบส่วนศีรษะ (แต่พบในเวลาต่อมา) และพบส่วนลำตัวที่มีรอยสักอยู่ตามตัว ไม่ว่าจะเป็นชื่อคนที่สักว่า Helen and Paul อีกรอยเป็นชื่อย่อว่า W.C.G. กางเกงชั้นในของศพมีตราของร้านซักรีดระบุชื่อ J.D แต่ไม่ทราบชื่อของผู้เสียชีวิตว่าเป็นใคร เพราะไม่พบส่วนนิ้วมือที่พอจะระบุลายนิ้วมือได้เลย ทางตำรวจจึงตั้งฉายาให้ว่า The Tattooed Man

 

 The Tattooed Man เหยื่อรายที่ 4

 

       อีเลียต เนส ยังคงทำงานหนักท่ามกลางความกดดันจากหลายฝ่าย เขาเป็นหัวหน้าในการทำคดีฆาตกรรมนี้ เพราะฉะนั้นความหวังของชาวเมืองคลีฟแลนด์ได้ถูกฝากไว้ที่อีเลียต เนสและทีมของเขา
       จนวันที่ 22 กรกฎาคม ปี 1936 พบศพรายที่ 5 ทางตะวันตกของเมืองคลีฟแลนด์ เจ้าหน้าที่ชันสูตรว่าเขาคนนี้ถูกตัดศีรษะขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ศีรษะของเขาหายไป (พบในภายหลัง) และไม่สามารถระบุตัวผู้ตายได้ว่าเป็นใคร
       ศพรายที่ 6 ถูกพบในปี 1936 ที่คิงส์เบอรีรัน ซึ่งศพนี้ถูกพบเพียงแค่ครึ่งลำตัวเท่านั้น และเป็นเช่นเดียวกันกับศพอื่น ๆ ที่ศพถูกตัดศีรษะออกไป ทางตำรวจไม่สามารถระบุได้ว่าผู้ตายคนนี้เป็นใคร เหยื่อรายที่ 7 เกิดขึ้นเมื่อปี 1937 ถูกพบบริเวณเดียวกันกับ Lady of the Lake เป็นเพศหญิง ส่วนศีรษะของเธอก็หายไปเช่นกัน และทางตำรวจก็ไม่สามารถระบุตัวตนของเหยื่อได้

 

 ตำรวจค้นหาชิ้นส่วนของเหยื่อ

 

       เหยื่อรายที่ 8 เป็นเหยื่อรายแรกที่เป็นชาวอเมริกันผิวสี สถานที่พบศพอยู่ตรงใต้สะพานลอเรนซ์ - คาร์เนกี้ ตำรวจพบว่าซี่โครงของเธอหายไป ศีรษะของเธอถูกตัดออกเช่นเดียวกันกับศพอื่น ๆ และตำรวจก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเธอผู้นี้เป็นใคร
       วันที่ 6 กรกฎาคม ปี 1937 ในแถบชุมชนแออัดที่คลีฟแลนด์พบศพรายที่ 9 เป็นเพศชายที่ศีรษะหายไป และไม่สามารถระบุตัวตนได้ อีกหนึ่งปีต่อมาในวันที่ 16 สิงหาคม ปี 1938 ตำรวจพบศพอีกครั้ง ซึ่งนับว่าเป็นศพรายที่ 10 สถานที่ที่พบศพนั้นเป็นที่เดียวกันกับศพรายที่ 9 และเป็นเช่นเคย คือศีรษะของผู้เสียชีวิตถูกตัดออกไป
       วันที่ 16 สิงหาคม ปี 1938 ตำรวจพบศพในแถบบริเวณลำน้ำคิงส์เบอรีพร้อมกันทีเดียวถึง 2 ศพ ผู้เสียชีวิตเป็นเพศหญิงและเพศชาย ถูกตัดศีรษะออกทั้งคู่ และตำรวจเชื่อว่าการฆาตกรรมที่เกิดขึ้นทั้งหมดเกิดจากฆาตกรเพียงคนเดียวเท่านั้น
       ในช่วงขณะที่เกิดเหตุฆาตกรรมนั้น มีหลายคนที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัย ในปี 1938 อีเนียต เนสเข้าจับกุม ดร.ฟรานซิส อี. สวีนีย์ ซึ่งตามประวัติของนายแพทย์ผู้นี้พบว่า เมื่อครั้งที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ดร.ฟรานซิสได้เป็นแพทย์สนามอยู่ด้วย และมีหน้าที่ในการตัดแขนตัดขาให้กับทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุระเบิดในสนามรบ 

 

รูปภาพประกอบ : ดร.ฟรานซิส อี. สวีนีย์

 

       แต่ดร.ฟรานซิสเป็นญาติกับ มาร์ทิน แอล. สวีนีย์ ที่ดำรงตำแหน่งเป็นถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขาคอยจับตาดูพฤติกรรมของอีเลียตตลอดการทำคดี แต่ถึงอย่างไร ดร.ฟรานซิสก็ยอมมอบตัวกับทางตำรวจแต่โดยดี ถึงแม้ว่าหลักฐานในการฆาตกรรมจะไม่เพียงพอ แต่ว่าดร.ฟรานซิสโดนสอบสวนเป็นการส่วนตัวโดยอีเลียตและถูกเข้าเครื่องจับเท็จ ซึ่งพบว่าดร.ฟรานซิสไม่ผ่านเครื่องจับเท็จถึง 2 ครั้ง และพฤติกรรมบางครั้งก็ดูน่าสงสัยด้วย

       ดร.ฟราซิส อี. สวีนีย์ถูกจับกุมอยู่ภายในโรงพยาบาลของทหาร และตั้งแต่หลังการจับกุมดร.ฟรานซิสนั้นก็ไม่ปรากฏคดีฆาตกรรมหั่นศีรษะแยกร่างอีกเลย จนถึงปี 1964 ดร.ฟรานซิสก็เสียชีวิตลงที่โรงพยาบาลทหาร

       ภายในปี 1938 อีเลียต เนสตัดสินใจที่จะทำลายที่พักอาศัยของคนจรจัดในแถบลำน้ำคิงส์เบอรีรัน เพราะว่าผู้เสียชีวิตจากคดีฆาตกรรมต่อเนื่องส่วนใหญ่เป็นคนจรจัด ไม่ทราบประวัติที่มา ตำรวจจึงเผาที่บริเวณนั้น ทำให้ประชากรคนเร่ร่อนไม่มีที่อยู่อาศัยกว่า 300 ชีวิต จากนั้นอีเลียต เนสดำรงตำแหน่งต่ออีก 4 ปีก่อนที่จะลาออกไป

 
รูปภาพประกอบ : อีเลียต เนสเผาทำลายที่พักของคนเร่ร่อนในคิงส์เบอรีรัน

 

       ภายหลังการชันสูตรศพแต่ละรายนั้น ทางเจ้าหน้าที่ไม่สามารถระบุได้ว่าบาดแผลที่ถูกฆาตกรหั่นนั้นมาจากความชำนาญหรือเป็นเพียงแค่มือสมัครเล่น ทราบก็เพียงแค่ว่าศพทุกศพถูกชำแหละและถูกตัดศีรษะเช่นเดียวกันทั้งหมด

 

ข้อมูลอ้างอิงและรูปภาพประกอบ : คดีปริศนาฆาตกรล่าหัว ‘คิงส์ เบอรีรัน’

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0