โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

ขับจนพังก็ยังไม่รู้! เมื่อไหร่ที่ควรเอารถเข้าตรวจเช็ก?

ไทยรัฐออนไลน์ - Auto

อัพเดต 07 ธ.ค. 2562 เวลา 05.13 น. • เผยแพร่ 07 ธ.ค. 2562 เวลา 03.00 น.
ภาพไฮไลต์
ภาพไฮไลต์

เมื่อใช้งานกันต่อเนื่องก็ต้องตรวจเช็กซ่อมบำรุงดูแลรักษาเพื่อทำให้รถของคุณมีสภาพพร้อมใช้อยู่ตลอดเวลา หากขับอย่างเดียวไม่เคยใส่ใจเหลียวแลดูแลรักษา ชิ้นส่วนที่เสียหายอาจทำให้คุณไปไม่ถึงจุดหมายต้องจอดตายกลางทาง สำหรับเจ้าของรถ สิ่งที่ต้องคำนึงถึงไม่ใช่เพียงการนำรถเข้าซ่อมเฉพาะเมื่อมีอาการผิดปกติ แต่ควรนำรถเข้าซ่อมบำรุงเมื่อถึงระยะ เพื่อดูแลรักษารถให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ช่วยให้ใช้งานรถยนต์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง ใช้งานได้ยาวนานและเกิดความปลอดภัยสูงสุด การนำรถยนต์เข้าไปตรวจสอบซ่อมบำรุง เปลี่ยนชิ้นส่วนที่สึกหรอจากการใช้งาน ถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการใช้รถยนต์

การดูแลบำรุงรักษารถยนต์แต่ละระยะของการใช้งาน เจ้าของรถส่วนใหญ่มักจะสังเกตแต่จำนวนกิโลเมตรที่รถใช้งานเป็นเกณฑ์ในการนัดหมายนำรถเข้าเช็กระยะ นอกจากจำนวนกิโลเมตรที่จะแสดงอายุการใช้งานของรถ ที่บ่งบอกได้ว่าของเหลวและชิ้นส่วนต่างๆ มีการใช้งานมายาวนานเท่าไรแล้ว ระยะเวลาของการใช้งานก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ของเหลวและชิ้นส่วนต่างๆ เสื่อมสภาพไปด้วยเช่นกัน เนื่องจากเครื่องยนต์หรือระบบต่างๆ ยังคงทำงานอยู่ตลอดเวลาแม้ในขณะรถจอดอยู่นิ่งท่ามกลางการจราจรที่ติดขัด หรือแม้แต่การจอดทิ้งไว้โดยไม่ได้ใช้งาน หากเจ้าของรถละเลยการดูแลตรวจเช็กระยะรถยนต์อย่างถูกต้อง ก็อาจก่อให้เกิดอันตรายหรือทำให้ชิ้นส่วนต่างๆ สึกหรอรวดเร็วกว่าปกติ

จากสถิติในปี 2018 ที่รวบรวมโดย National Highway Traffic Safety Administration (NHTSA) ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าอุบัติเหตุ 45,000 ครั้งต่อปี เกิดจากการดูแลรถยนต์ไม่เหมาะสม ชิ้นส่วนที่เสื่อมสภาพเป็นสาเหตุให้เกิดภัยบนท้องถนน 1 หากรู้ทันก่อนเกิดภัย ก็จะเป็นประโยชน์ทั้งในด้านความปลอดภัย รวมไปถึงการใช้รถยนต์ได้คุ้มค่า จึงควรมีการนำรถเข้าเช็กระยะตามระยะทางหรือเวลาที่กำหนดไว้ในสมุดคู่มือของรถรุ่นนั้นๆ หรือเมื่อมีไฟเตือนหรือข้อความเตือนครบกำหนดเข้าเช็กระยะ โดยรถส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะแนะนำให้นำรถเข้าเช็กระยะทุกๆ 6 เดือนหรือ 10,000 กม. แล้วแต่อย่างใดจะถึงก่อน

ในการเช็กระยะแต่ละครั้ง ควรจะมีการตรวจสอบและเปลี่ยนอะไหล่ต่างๆ เพื่อให้รถอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ดังต่อไปนี้

1.เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและไส้กรองเครื่องยนต์ 
ช่วยให้เครื่องยนต์สะอาด ลดการสึกหรอและหล่อลื่นการทำงานของชิ้นส่วนต่างๆ

2.ตรวจสอบสภาพไส้กรองในระบบต่างๆ 
มีทั้งไส้กรองอากาศเครื่องยนต์ ไส้กรองอากาศแอร์ ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ควรเปลี่ยนตามระยะที่กำหนด ซึ่งอาจแตกต่างกันในรถแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อ ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง

3.ตรวจสอบระดับของเหลวและการรั่วซึมของระบบต่างๆ 
นอกจากน้ำมันเครื่องยังมี น้ำมันเกียร์ น้ำมันเฟืองท้าย น้ำมันเบรก น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ น้ำยาหม้อน้ำ น้ำยาฉีดล้างกระจก ที่จะต้องได้รับการดูแลและตรวจสอบว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่มีกลิ่นหรือสีที่ผิดปกติ รวมถึงไม่มีการรั่วซึมตามท่อทางเดิน

4.ตรวจสอบการทำงานของยางปัดน้ำฝนและน้ำฉีดกระจก 
ยางปัดน้ำฝนมีการเสื่อมสภาพจากรังสี UV ที่มาจากแสงแดดตามระยะเวลาแม้ไม่มีการใช้งาน ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพการรีดน้ำบนกระจกลดน้อยลง ส่งผลต่อทัศนวิสัยในการขับขี่ จึงควรเปลี่ยนยางปัดน้ำฝนอย่างน้อยปีละครั้ง พร้อมทั้งตรวจสอบการฉีดน้ำว่าอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม

5.ตรวจสอบระบบไฟส่องสว่าง
หลายครั้งที่เราอาจไม่สังเกตว่าระบบไฟส่องสว่างของรถเรานั้นยังทำงานเป็นปกติอยู่หรือไม่ ซึ่งการเช็กระยะจะเป็นการตรวจสอบการทำงานของสัญญาณไฟต่างๆ รอบคันให้ท่านมั่นใจ และยังปลอดภัยตลอดการขับขี่

6.ตรวจสอบสภาพสายพาน
สายพานอาจมีการเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ซึ่งอาจทำให้เกิดเสียงดังหรือขาดระหว่างการขับขี่ จึงต้องได้รับการตรวจสอบสภาพพร้อมทั้งความตึง

7.ตรวจสอบสภาพแบตเตอรี่ 
แบตเตอรี่ มักเป็นสิ่งที่จะถูกเปลี่ยนเมื่อไม่สามารถสตาร์ตรถได้ แต่ในความเป็นจริงเราสามารถป้องกันได้ก่อนที่จะเกิดปัญหาดังกล่าวด้วยการใช้เครื่องมือทดสอบแบตเตอรี่เพื่อประเมินสภาพของแบตเตอรี่ว่าถึงกำหนดเวลาเปลี่ยนแล้วหรือไม่ ก่อนที่จะมีอาการสตาร์ตไม่ติด

8.ตรวจสอบระบบเบรก
โดยจะเป็นการตรวจสอบสภาพและความหนาของผ้าเบรกว่าใกล้หมดแล้วหรือไม่ ซึ่งควรเปลี่ยนผ้าเบรกทันทีเมื่อความหนาของผ้าเบรกเท่ากับ 3 มม. หรือต่ำกว่า นอกจากนี้ยังควรตรวจสอบรอยรั่วซึมของท่อทางน้ำมันเบรก ชิ้นส่วนต่างๆ ที่เป็นยาง และสภาพของจานเบรกที่ควรมีความหนาไม่น้อยกว่ามาตรฐาน

9.ตรวจสอบสภาพยาง
เป็นการตรวจสอบสภาพความลึกของร่องดอกยาง ซึ่งควรมีความลึกมากกว่า 3 มม. ไม่มีการรั่วซึมหรือการสึกหรอของยางที่ผิดปกติ และปรับแรงดันลมยางตามมาตรฐานที่กำหนด หรือปรับตั้งศูนย์ล้อถ้าพบการสึกหรอของยางที่ผิดปกติ

10.สลับยางและถ่วงล้อทั้ง 4 ล้อ 
โดยเป็นการสลับยางจากด้านหน้าไปไว้ด้านหลังพร้อมทั้งปรับความสมดุลของล้อและยางด้วยการถ่วงล้อ ซึ่งจะช่วยให้ยางมีการสึกหรอใกล้เคียงกันทั้ง 4 เส้น ยืดอายุการใช้งานของยาง รวมถึงลดเสียงรบกวนของยางระหว่างการขับขี่

11.ตรวจสอบสภาพของช่วงล่างและระบบบังคับเลี้ยว
โดยตรวจสอบการรั่วซึมและการทำงานของโช้คอัพ การสึกหรอของชิ้นส่วนต่างๆ เช่น ลูกหมาก ลูกปืนล้อ ยางหุ้มเพลา ซึ่งจะช่วยให้มั่นใจในการขับขี่และการทรงตัวของรถ

เมื่อรถถึงระยะซ่อมบำรุง สามารถนำรถเข้าตรวจเช็กสภาพรถได้ที่ศูนย์บริการที่มีบริการให้คำปรึกษาทางด้านการดูแลรักษารถยนต์อย่างละเอียด การนำรถเข้าศูนย์บริการเมื่อถึงระยะซ่อมบำรุงอย่างสม่ำเสมอจะเพิ่มความปลอดภัยและความทนทานให้รถแถมยังอาจเพิ่มมูลค่าขายได้ในภายหลัง แล้วก็ยังทำให้คุณขับรถได้อย่างสบายใจไร้กังวลเมื่อต้องเดินทางไม่ว่าจะใกล้หรือไกลอีกด้วย.
อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/

ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง

ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0