อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง หรือกี้ร์ อดีตนักร้องชื่อดัง เจ้าของเสียงคล้ายอมลูกอมขณะร้องเพลง หนึ่งในแกนนำมวลชนเสื้อแดง ตั้งแต่สมัยเป็น นปก. (ก่อนจะเปลี่ยนเป็น นปช.) ถึงขณะนี้ ไม่ต่างจากแกนนำรายอื่นๆ ที่ต้องคดีและลุ้นการพิจารณาตัดสินของศาล ในคดีต่างๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุม แต่พิเศษสำหรับเขา คือมีคดีความที่ศาลนัดฟังคำพิพากษา และนัดไต่สวน ไล่เลี่ยกัน 2 คดี และทั้ง 2 คดี เจ้าตัวหายหน้า ไม่ไปปรากฏตัวที่ศาล
คดีแรก ล้มประชุมผู้นำอาเซียนที่พัทยา เหตุเกิดปี 2552 ศาลนัดเมื่อวันที่ 11 กันยายน กับคดีที่ 2 ศาลนัดไต่สวน คดีทุจริตบ้านเอื้ออาทร เมื่อ 13 กันยายน คดีแรกศาลมีคำพิพากษาให้จำคุก 12 แกนนำ นปช. 4 ปี และให้ออกหมายจับนายอริสมันต์ ไปฟังคำพิพากษาวันที่ 31 ตุลาคม 2562 ซึ่งถ้าหากวันดังกล่าวเจ้าตัวยังไม่สามารถติดต่อหรือหาตัวนายอริสมันต์จนพบ ศาลสามารถอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยได้ ตามบทบัญญัติใหม่ใน พ.ร.ป.พิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ปี 2560
ส่วนคดีที่สอง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สั่งออกหมายจับนายอริสมันต์ จำเลยที่ 10 คดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรของการเคหะแห่งชาติ เนื่องจากไม่ยอมเดินทางไปตามกำหนดนัดไต่สวนพยาน โดยพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยมีพฤติกรรมน่าจะหลบหนี และยังสั่งปรับนายประกันเต็มวงเงิน 5 ล้านบาท คดีนี้ก็เช่นกัน ศาลมีอำนาจดำเนินกระบวนการพิจารณา โดยไม่มีตัวจำเลย (ลับหลงจำเลย) ได้ ตาม พ.ร.ป.ฉบับเดียวกัน
ไม่เพียงแค่คดีของนายอริสมันต์คนเดียว ถัดมาวันที่ 16 กันยายน ถึงคิวคดีของภรรยาบ้าง เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดอ่านคำพิพากษาคดี นางระพิพรรณ พงศ์เรืองรอง ภรรยานายอริสมันต์ อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ซึ่งถูก ป.ป.ช.ยื่นให้ศาลวินิจฉัย จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ กรณีแสดงรายการกู้ยืมเงิน แต่ไม่ได้กู้ยืมจริง การแสดงรายได้ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง แต่ไม่ได้รับเงินจริง และสัญญาจ้างสามีนายอริสมันต์ทำงาน แต่ไม่ได้รับจ้างงานจริง วงเงินประมาณ 55 ล้านบาท การกระทำดังกล่าวทำขึ้นเพื่อปกปิดอำพรางแหล่งที่มาของทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นผิดปกติของผู้ถูกกล่าวหาและคู่สมรส คดีนี้นางระพิพรรณก็เบี้ยวไม่ไปศาลเช่นกัน แต่ศาลตัดสินจำคุกนางระพิพรรณ 2 เดือน โดยไม่รอการลงโทษ และห้ามดำรงตำแหน่งการเมือง 5 ปี
สรุปคือทั้งสามีภรรยา หายตัวทั้งคู่ แม้แต่บ้านตึกแถว 2 ชั้นที่อำเภอบ้านโป่ง จ.ราชบุรี ที่เคยเป็นของนายอริสมันต์ ก็ถูกขายเปลี่ยนมือเป็นของคนอื่นไปแล้ว โดยไม่มีใครทราบว่า หลบไปอยู่ที่ไหน แม้แต่ทนายความที่ต่อสู้คดีให้ก็ยอมรับว่า ติดต่อไม่ได้แล้ว นายอริสมันต์ อดีตส.ส.พรรคไทยรักไทย ในฐานะแกนนำ นปก.และนปช. ที่สนับสนุนนายทักษิณ และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถือเป็นหนึ่งในฮาร์ทคอร์ คนสำคัญ สร้างผลงานเป็นที่จดจำมากมาย ตั้งแต่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2550 เป็นแกนนำพากลุ่ม แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) จากสนามหลวง เคลื่อนย้ายฝ่าแนวป้องกันของตำรวจไปยังหน้ากองบัญชาการกองทัพบก ถนนราชดำเนิน ช่วงเวลากลางคืน ต่อมาคืนวันที่ 18 มิถุนายน ขึ้นรถปราศรัยด่าว่าทหาร และตำรวจที่รักษาความสงบรอบสนามหลวง เป็นแกนนำพามวลชนเสื้อแดงบุกเข้าภายในโรงแรมรอยัล คลิฟ บีช พัทยา ล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน เมื่อ 10 เมษายน 2552 วันที่ 7 เมษายน 2553 นำพามวลชนบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภาระหว่างมีการประชุม โดยไม่ได้ปรึกษาผู้นำหลัก 3 คน คือวีระกานต์ มุสิกพงศ์ จตุพร พรหมพันธุ์ และณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ก่อนนำไปสู่เหตุการณ์บานปลายและรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในที่สุด 16 เมษายน 2553 นายอริสมันต์ซึ่งมีหมายจับจากศาลอาญาต้องโหนเชือกลงจากห้องพักชั้น 3 โรงแรมเอส.ซีปาร์ค อย่างทุลักทุเล เพื่อหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ หลังสลายการชุมนุมบริเวณราชดำริและราชประสงค์ เดือนพฤษภาคม 2553 นายอริสมันต์หลบหนีการจับกุม โดยอ้างว่า ใช้วิชาอำพรางตัวจากพระรูปหนึ่ง ทำให้ตำรวจมองไม่เห็น กระทั่งถึงชายแดนจังหวัดสุรินทร์ ข้ามฝั่งเข้าไปลี้ภัยอยู่ในประเทศกัมพูชา ก่อนจะกลับเข้ามอบตัวที่ศาลพัทยา เมื่อเดือนธันวาคม 2554 ครั้งนี้ ยังไม่แน่ว่า จะต้องหลบไปอยู่ประเทศเพื่อนบ้านพร้อมภรรยาอีกหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ หากจะหนี ก็ต้องหนีตลอดชีวิต เพราะกฎหมายพิจารณาคดีนักการเมือง ฉบับใหม่ (ปี 2560) คดีจะไม่มีหมดอายุความอีกแล้ว
ขอบคุณภาพ : arisman_kie
