หลายคนบ่นอุบ พอเห็นบิลค่าไฟฟ้าที่พุ่งปรี๊ดในช่วงนี้ สาเหตุไม่มีอะไรมาก อยู่ที่การใช้ไฟฟ้าในบ้านเป็นอย่างไร บ้านที่มีแอร์หลายตัว รับรองค่าไฟฟ้าสูงแน่นอน เพราะร้อนๆอย่างนี้ต้องเปิดกันทั้งวัน และบางบ้านก็เปิดหลายตัวพร้อมกัน เพราะต่างอยู่กันคะละมุมห้อง ไม่นับรวมเครื่องใช้ไฟฟ้าจิปาถะที่ตั้งอำนวยความสะดวกอยู่ในบ้านของเรา และนับวันบรรดาเครื่องใช้ไฟฟ้าก็จะมีหน้าตาแปลกๆใหม่ๆมากขึ้น ตามเทคโนโลยี
มาดูว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าหลักๆที่แทบทุกบ้านมีกันครบครันในตอนนี้ว่า แต่ละชนิดกินไฟเท่าไหร่ ไล่เรียงกินไฟมากน้อยตามลำดับ 13 ชนิด ดังนี้
- เครื่องทำน้ำอุ่น 2,500-12,000 วัตต์
- แอร์ 1,200 – 3,300 วัตต์
- เครื่องซักผ้าแบบมีเครื่องอบ 3,000 ว้ตต์
- เครื่องปิ้งขนมปัง 800-1,000 วัตต์
- เครื่องดูดฝุ่น 750-1,200 วัตต์
- เตารีดไฟฟ้า 700-2,000 วัตต์
- หม้อหุงข้าว 450-1,500 วัตต์
- เตาหุงต้มไฟฟ้า 200-1,500 วัตต์
- เครื่องชงกาแฟ 200-600 วัตต์
- เตาไมโครเวฟ 100-1,000 วัตต์
- เครื่องเปาผม 100-1,000 วัตต์
- โทรทัศน์สี 80-180 วัตต์
- ตู้เย็น 70-145 วัตต์
(ข้อมูล : การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค )
เมื่อมีเครื่องใช้ไฟฟ้ากันมากมายอย่างนี้ ทำอย่างไรให้เราควบคุมค่าไฟไม่ให้พุ่งสูงเกิน โดยเฉพาะการใช้แอร์ มี 8 เคล็ดลับประหยัดไฟมาฝาก
- เปิดหน้าต่าง แทนที่จะเปิดเครื่องปรับอากาศตลอดเวลา โดยลองเปลี่ยนมาใช้ลมธรรมชาติในบางจังหวะ
- ใช้พัดลมเป็นตัวช่วยแทนแอร์ โดยเปิดพัดลมตั้ง พื้นหรือพัดลมเพดาน จะยิ่งช่วยทำให้อากาศถ่ายเทได้สะดวกมากขึ้น และทำให้อากาศในบ้านเย็นลงได้
- เปิดแอร์ในอุณหภูมิที่เหมาะสม ประมาณ 26 องศา ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่ไม่ร้อน หรือเย็นจนเกินไป เพราะการเพิ่มอุณหภูมิ 1 องศาช่วยประหยัดไฟเพิ่ม 10%
- ปิดแอร์ล่วงหน้า โดยตั้งเวลาปิดเครื่องปรับอากาศก่อนเวลาตื่นนอน หรือก่อนออกจากบ้าน 1 ชั่วโมง จะช่วยลดปริมาณการใช้ไฟฟ้า และช่วยลดค่าไฟได้ด้วย
- เปลี่ยนมาซักผ้าสองสัปดาห์ครั้ง หรือจนกว่าเสื้อผ้าจะเต็มตะกร้าแล้วค่อยซักประหยัดทั้งค่าไฟและค่าน้ำไปพร้อมกัน
- ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้งาน นอกจากจะช่วยประหยัดไฟแล้ว ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับบ้านและทรัพย์สินด้วย
- เปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์ประหยัดไฟเบอร์ 5 แบบใหม่ที่มี 1-3 ดาว ซึ่งแต่ละดาวจะมีประสิทธิภาพการประหยัดไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 10%
- ปลูกต้นไม้ให้รอบบ้าน เพิ่มความเย็นธรรมชาติให้กับบ้านของเรา
