ตั้งแต่อีเมล สื่อโซเชียล ไปจนถึงการเดทออนไลน์ เราทุกคนล้วนต้องตัดสินใจโดยที่ไม่ทันได้รู้ตัว แต่หลายครั้งที่ตัวเลือกของเราไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่นัก แม้แต่คนเก่งก็ยังตัดสินใจผิดพลาดเลยเนื่องจากพวกเขาใช้เวลาในการไตร่ตรองไม่มากพอ คนเรามีโอกาสตกหลุมพรางได้ทุกเมื่อทั้งในบ้านและที่ทำงาน คุณสามารถดูได้จากตัวอย่างดังต่อไปนี้
จัดการงานที่ง่ายที่สุดก่อน
จงทำงานที่ยากที่สุดก่อน บางคนเรียกกลยุทธ์นี้ว่า “กินกบ” ซึ่งเป็นคำพูดของมาร์ค ทเวน “จงกินกบเป็นอย่างแรกในตอนเช้าและตลอดทั้งวันที่เหลือก็จะไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว” นักวิจัยบางคนกล่าวว่าความตั้งใจของคนเราจะลดลงเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้นควรทำงานที่ต้องอาศัยสมาธิและความตั้งใจในตอนเช้า ขณะที่บางคนแย้งว่าความตั้งใจคือทรัพยากรจำกัด นอกจากนี้การวิจัยยังชี้ว่าควรทำงานทีละอย่าง เช่น การเช็กอีเมลและคุยโทรศัพท์ไปด้วยจะใช้เวลานานกว่าการทำทีละอย่างราวร้อยละ 40 แม้แต่ตอนที่คุณคิดว่าการทำงานพร้อมกันหลายอย่างมีประสิทธิภาพแต่จริงๆแล้วไม่เลย ทางแก้ง่ายๆคือปิดเสียงโทรศัพท์ของคุณเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเช็กอีเมลทางมือถือ จากนั้นก็กำหนดเวลาเฉพาะสำหรับเช็กและตอบอีเมลไปเลย
เปิดโทรศัพท์และวางไว้บนโต๊ะทำงาน
การเปิด “สั่น” ยังไม่พอ จริงๆการปิดโทรศัพท์ไปเลยก็ไม่พอเช่นกัน งานวิจัยชี้ว่าการวางโทรศัพท์ไว้ใกล้ตัวสามารถทำลายความสามารถด้านการรู้คิดของคุณได้แม้ว่าคุณจะไม่รู้ตัวก็ตาม วิธีแก้ที่ดีที่สุดคือคุณควรวางโทรศัพท์ไว้อีกห้องหนึ่งไปเลย
นั่งตลอดทั้งวัน
งานออฟฟิศทำให้คุณไม่ต้องออกกำลังกายมากนัก แต่คุณก็ไม่จำเป็นต้องนั่งนิ่งๆติดกันหลายชั่วโมงสักหน่อย งานวิจัยชี้ว่าคุณควรลุกขึ้นยืนและเดินไปรอบๆสัก 2-3 นาทีต่อครั้งเพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเอง งานวิจัยล่าสุดพบว่าผู้ที่ออกกำลังกายวันละประมาณหนึ่งชั่วโมงมีโอกาสเสี่ยงเสียชีวิตน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ออกกำลังกาย
นั่งจ้องหน้าจอติดต่อกันหลายชั่วโมง
การนั่งจ้องหน้าจอตลอดทั้งวันอาจทำให้เป็น “ภาวะตาล้าดิจิทัล” โดยมีอาการตาแห้งและสายตาพร่ามัว ขอแนะนำกฎ 20-20-20 คือทุกๆ 20 นาทีให้มองไปไกลๆราว 20 ฟุต หรือ 6 เมตร อย่างน้อย 20 วินาที
รอจนบ่ายเพื่อหยุดพัก
คุณควรพักในช่วงสายๆแทน การศึกษาในปี 2015 แนะนำว่ายิ่งเวลาทำงานผ่านไปนานเท่าไหร่..การหยุดพักก็ยิ่งไร้ประโยชน์มากเท่านั้น การหยุดพักในช่วงเช้าจะช่วยฟื้นฟูพลังงาน สมาธิ และแรงจูงใจ
ฟังเพลงขณะทำงาน
คุณอาจรู้สึกว่าตัวเองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อฟังเพลงไปด้วยแต่จริงๆแล้วคุณอาจเข้าใจผิด งานวิจัยในปี 2015 พบว่ากิจกรรมต่างๆ (เช่น การอ่านหรือการเขียน) จะแย่ลงเมื่อคุณฟังเพลงไปด้วย ยกเว้นงานที่ต้องทำซ้ำๆ เช่น การประกอบชิ้นส่วนหรือการขับรถเป็นเวลานาน..การฟังเพลงจะช่วยกระตุ้นให้คุณทำงานได้ดีขึ้น ทั้งนี้การฟังเพลงประมาณ 10-15 นาทีก่อนเริ่มงานจะทำให้คุณอารมณ์ดีและผ่อนคลาย
การเลือกอาหารที่ดูเหมือนมีประโยชน์แต่จริงๆแล้วไม่ใช่
ยกตัวอย่างเช่นน้ำส้มบรรจุขวดและเครื่องดื่มสมูทตี้อาจดูเหมือนมีประโยชน์แต่จริงๆแล้วเครื่องดื่มเหล่านี้มีแต่น้ำตาลและแคลอรี่สูง ขณะที่คนส่วนใหญ่คิดว่าไข่ทำให้คอเลสเตอรอลสูงแต่ก็ไม่จริงเช่นกัน
การรับข้อมูลบนสื่อโซเชียล
นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าการใช้เฟซบุ๊คมีอยู่สองประเภทได้แก่การแลกเปลี่ยนข้อมูลกับผู้อื่นกับการรับข้อมูลอยู่ฝ่ายเดียว แต่การศึกษาพบว่าการรับข้อมูลบนเฟซบุ๊คอย่างเดียวจะยิ่งทำให้เราแย่ลงเนื่องจากเราอาจรู้สึกอิจฉาชีวิตดีๆของคนอื่นที่เปิดเผยบนสื่อสาธารณะ ดังนั้นแทนที่จะเอาแต่ส่องดูชีวิตของคนอื่นคุณควรส่งข้อความหาเพื่อนเก่าๆบ้างหรือคอมเมนท์ชื่นชมรูปครอบครัวที่น่ารักของใครสักคน
หาเรื่องทะเลาะกับคนรัก
คำที่ทำให้เลิกทะเลาะกันและกลบเกลื่อนความขัดแยังได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดคือ “โอ๊ย” (ลากเสียงยาวๆ) ซึ่งเป็นการแสดงความอ่อนแอออกมาแทนที่จะป้องกันตัว ทางที่ดีคุณควรทบทวนคำพูดของคนรักและแสดงว่าคุณเข้าใจว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แม้ว่าจริงๆแล้วคุณจะยังไม่เข้าใจก็ตาม
จับคู่กันในแอปนัดเดทแต่ไม่ส่งข้อความหาใครเลย
การเดทออนไลน์ไม่จำเป็นต้องรีบเร่งจนเกินไป คุณไม่ต้องรีบจับคู่กับคนนั้นคนนี้ ปัญหาใหญ่ที่สุดของแอปพลิเคชั่นนัดเดทคือ “ภาวะการรับรู้ที่มากเกินไป” คำแนะนำคือคุณควรหยุดเมื่อจับคู่ครบเก้าคนแล้วและควรพิจารณาคนกลุ่มนั้นก่อน
นอนดึกเกินไป
นักวิทยาศาสตร์เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “การผัดผ่อนเวลาเข้านอน” ยกตัวอย่างเช่นคุณเอาแต่ดูซีรีส์ไม่ยอมหยุดและผัดผ่อนเวลานอนออกไปเรื่อยๆ ขอบอกว่าการกระทำเช่นนี้อันตรายพอๆกับการสูบบุหรี่เลย ทางแก้คือคุณควรปิดโทรทัศน์และเข้านอนทันที รับรองว่าคุณจะรู้สึกซาบซึ้งใจในวันพรุ่งนี้และปีต่อๆไปอย่างแน่นอน