กว่าจะถึงวันนี้ของ”อีลอน มัสก์”

*ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา อีลอน มัสก์ จับทำธุรกิจหลายอย่าง ระดับบิ๊กๆ ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น PayPal, Tesla หรือ SpaceX แต่ความสำเร็จของเขาไม่ได้มาง่ายๆ *

เพราะสมัยเด็กนั้น มัสก์เคยทำมาหลากหลายเช่นกัน อย่าง

ขายลูกอม

ขณะเติบโตขึ้นมาในกรุงพริทอเรีย ประเทศแอฟริกาใต้ มัสก์กับน้องชายและญาติๆ ตระเวณไปตามย่านคนรวยเพื่อขายลูกอมช็อคโกแลตโฮมเมด ช่วงเทศกาลอีสเตอร์ โดยตั้งราคาสูงกว่าต้นทุน 20 เท่า และคนก็มักถามว่าทำไมแพงจัง ซึ่งน้องชายเขาก็ตอบไปว่า “ถือเป็นการสนับสนุนพ่อค้ารุ่นเยาว์"

ถูกแกล้ง

มัสก์เล่าว่าสมัยเรียนที่กรุงพริทอเรีย เขาไม่เพียงเป็นเด็กที่อายุน้อยที่สุดและตัวเล็กที่สุดในชั้นเท่านั้น แต่ยังออกแนว”เด็กเนิร์ด” และชอบอ่านหนังสือมากกว่าคนอื่น เด็กผู้ชายคนอื่นจึงมักชอบแกล้งเขา บางครั้งถึงขั้นผลักตกบันได จนเขาต้องเข้าโรงพยาบาล และเคยถูกซ้อมเกือบตาย เขาถูกแกล้งจนอายุ 15 ปีและเริ่มเรียนคาราเต้ ยูโด มวยปล้ำ เพื่อป้องกันตัวเอง จากนั้นพอใครมาแกล้งก็จะโดนเขาเอาคืน

พ่อแม่คิดว่าเขาหูหนวก

สมัยเป็นเด็ก มัสก์ชอบหมกมุ่นกับความคิดของตัวเอง จนพ่อแม่และหมอส่งตัวเขาไปตรวจว่าหูหนวกหรือเปล่า ต่อมาแม่ของเขาจึงเข้าใจว่าลูกชายกำลังจินตนาการ และฝันกลางวันเรื่องการประดิษฐ์คิดค้น แม่ของเขาเล่าว่าตอนมัสก์คิดอะไรสักอย่าง เหมือนเข้าไปอยู่อีกโลกหนึ่ง ซึ่งเธอก็ปล่อยให้เขาคิดไป เพราะทราบดีว่ามัสก์กำลังครุ่นคิดเรื่องการออกแบบจรวดหรืออะไรสักอย่าง

สร้างจรวดเอง

ตอนพ่อแม่ไม่อยู่บ้าน มัสก์จะอยู่ในการดูแลของคนใช้ แต่มัสก์ก็มักแว่บไปอ่านหนังสือบ้าง ประดิษฐ์จรวดบ้าง หรือทำอะไรแผลงๆ ที่อันตราย ซึ่งแม้แต่เขายังช็อคที่ตัวเองเหลือนิ้วมือครบทุกนิ้วมาถึงทุกวันนี้

ชอบอ่านหนังสือ

ตลอดวัยเด็ก หนังสือมีบทบาทสำคัญในการสร้างแรงบันดาลใจและความบันเทิงให้แก่มัสก์ ซึ่งออกปากว่าเขาถูกเลี้ยงดูโดยหนังสือ จากนั้นก็พ่อแม่ มีรายงานว่าตอนอายุ 9 ขวบเขาอ่านสารานุกรมบริตานิกา (Encyclopedia Britannica) จบครบถ้วน แล้วเริ่มขยับไปอ่านนิยายวิทยาศาสตร์ การ์ตูน และหนังสืออื่นๆ วันละ 10 ชั่วโมง ในบรรดาหนังสือที่มีอิทธิพลต่อเขา รวมถึง “The Lord of the Rings,” “The Hitchhiker’s Guide to the Galaxy” และ “Foundation” ของไอแซค อสิมอฟ

พัฒนาวิดีโอเกมตั้งแต่ 12 ขวบ

หนูน้อยมัสก์ในวัยเพียง 12 ขวบ พัฒนา“Blastar” เกมอวกาศที่ได้แรงบันดาลใจจากนิยายวิทยาศาสตร์ โดยตัวหลักในเกมต้องทำลายยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาวที่ภายในบรรทุกระเบิดไว้เต็ม แม้มัสก์ออกตัวว่าเกมนี้เบสิกมาก แต่ทำเงินให้เขาได้ถึง 500 ดอลลาร์เมื่อบริษัทแห่งหนึ่งซื้อไป

พยายามเปิดร้านเกมตอนอายุ 16

ตอนเรียนชั้นมัธยม มัสก์พร้อมก๊วนของเขา คือญาติๆ และน้องชาย ปิ๊งไอเดียเปิดร้านเกม แล้วก็ไม่รอช้า ไปตระเวนหาสถานที่แล้วเตรียมทำสัญญาเช่าเลย แต่ถูกเบรกไว้เมื่อเจ้าหน้าที่บอกว่าพวกเขาเด็กเกินไปทำสัญญาเช่าเองโดยไม่มีผู้ปกครองมาคอยกำกับดูแล

ปรากฏว่าพอนำเรื่องไปปรึกษาทั้งพ่อและอา ไม่มีใครเห็นด้วยเลย

ย้ายไปอเมริกาเหนือตอนเป็นวัยรุ่น

ก่อนอายุครบ 18 ปี มัสก์ย้ายจากบ้านเกิดในแอฟริกาใต้ ไปแคนาดา และทำงานหนักหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นตักเมล็ดพืช ตัดฟืน ทำความสะอาดห้องเครื่องจักรในโรงงานทำไม้ แลกกับค่าแรงชั่วโมงละ 18 ดอลลาร์ ซึ่งค่อนข้างสูงสมัยนั้น

มัสก์รับค่าแรงชั่วโมงละ 14 ดอลลาร์ตอนไปฝึกงานที่ Bank of Nova Scotia และสร้างความประทับใจแก่ผู้บริหาร

พอเข้าเรียนมหาวิทยาลัยปีแรกที่ Queens University มัสก์ก็หางานพิเศษด้วยการประกอบพีซีให้นักศึกษาคนอื่นในราคาที่ถูกกว่าไปใช้บริการที่ร้าน จากนั้นเขาย้ายไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย เพราะได้ทุนก้อนหนึ่ง

เส้นทางธุรกิจ

มัสก์เรียนจนจบปริญญาตรีฟิสิกส์และเศรษฐศาสตร์จากโรงเรียนธุรกิจวอร์ตัน แล้วไปเรียนต่อที่สแตนฟอร์ด แต่ลาออกภายในไม่กี่วันเพื่อร่วมมือกับน้องชาย ก่อตั้งสตาร์ทอัพอินเทอร์เน็ต Zip2 ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์เชื่อมโยงสถานที่ต่างๆ ในเมืองสำหรับหนังสือพิมพ์

4 ปีต่อมา มัสก์ขาย Zip2 ในราคา 307 ล้านดอลลาร์ ทำให้เขาได้กำไร 22 ล้านดอลลาร์ และนำเงินไปร่วมก่อตั้งบริการธนาคารออนไลน์ X.com ซึ่งผนวกกับคู่แข่งและกลายเป็น PayPal จนกระทั่ง eBay ซื้อไป และมัสก์ได้เงิน 180 ล้านดอลลาร์

เขาหันไปตามความฝันของการสำรวจอวกาศด้วยการตั้งบริษัท SpaceX จากนั้นก็ร่วมก่อตั้งผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Tesla ตามด้วยธุรกิจระบบพลังแสงอาทิตย์ SolarCity ทั้งยังก่อตั้ง Boring Company เพื่อพัฒนาและสร้างอุโมงใต้ดินในลอสแองเจลีส

มัสก์ยังประกาศจะนำสินทรัพย์ส่วนใหญ่ไปบริจาคเพื่อส่วนรวมในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่นี่แหละ และในวันว่าง เขาชอบทำสิ่งง่ายๆ เช่น ฟังเพลง เล่นวิดิโอเกม อ่านหนังสือ พบปะเพื่อนฝูง เท่านั้นเอง