กรมควบคุมโรคชี้แอลกอฮอล์ในร่างกายสูงเป็นเหตุให้ถึงแก่ชีวิตได้ ทั้งจากการสำลัก หรือกดระบบประสาท จนหมดสติ
วันที่ 24 ก.ย.2562 นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงกรณีผลชันสูตรศพลันลาเบล พริตตี้สาวที่เสียชีวิตโดยไม่พบสารเสพติดและดีเอ็นเอของผู้อื่นในร่างกาย แต่พบปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดสูงถึง 418 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ว่า
ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดที่พบถือว่าอยู่ในระดับที่สูงมาก ซึ่งการมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดสูงๆ อาจทำให้เสียชีวิตได้ อย่างไรก็ตาม ปริมาณแอลกอฮอล์จะแปรผันไปตามปัจจัยต่างๆ ทั้งชนิดของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คนที่ดื่มและพฤติกรรมการดื่ม เช่น ดื่มแบบเพียวๆ ดื่มแบบผสม ดื่มตอนท้องว่างหรือตอนอิ่มที่มีอาหารมาขัดขวางการดูดซึมแอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกาย ดื่มเร็วๆ หรือค่อยๆ จิบ ที่ทำให้ร่างกายมีเวลากำจัดแอลกอฮอล์ออกไป ซึ่งเฉลี่ยร่างกายจะกำจัดได้ 15-20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ต่อชั่วโมง แต่ถ้าดื่มรวดเดียวเร็วๆ ก็จะมีปัจจัยความแตกต่างกันของแต่ละคน เช่น อ้วน ผอม เป็นคนดื่มบ่อย หรือนานๆ ดื่มที ร่างกายแต่ละคนก็กำจัดแอลกอฮอล์ได้เร็วช้าไม่เท่ากัน
ทั้งนี้ส่วนใหญ่หากร่างกายมีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 100 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จะเริ่มมีผลเสีย เพิ่มเรื่องของพฤติกรรมเสี่ยง มีพฤติกรรมรุนแรง เพราะขาดการยับยั้งชั่งใจ หากระดับแอลกอฮอล์ 150 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จะเริ่มสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหว การพูดจา ระดับแอลกอฮอล์เกิน 200 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จะเกิดปัญหาง่วงซึม หมดสติได้ และอาจทำให้เกิดการเสียชีวิต การดื่มเครื่องดื่มแอลกออฮอล์ที่ทำให้เสียชีวิต หลักๆ คือ เมื่อแอลกอฮอล์ในร่างกายสูงมาก มักจะเกิดสำลัก หรืออาเจียน หากปฐมพยาบาลไม่เหมาะสม โดยปล่อยให้นอนราบ มีโอกาสสำลักเข้าไปอุดกั้นทางเดินหายใจเป็นเหตุให้เสียชีวิต อีกส่วนคือแอลกอฮอล์ไปกดระบบประสาท ทำให้หมดสติ บางครั้งทำให้ตัวการหายใจกับระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลวจนเสียชีวิตได้ ดังนั้นเวลาเจอคนเมาวิธีช่วย คือ ทำให้รู้สติไว้ตลอด ถ้ารู้สึกตัวไม่สำลักให้ดื่มน้ำมากๆ เพื่อเจือจางแอลกอฮอล์ คอยระวังว่า มีภาวะสำลักหรือไม่ อย่าทิ้งตัวคนเมาหมดสติไว้ตามลำพัง ถ้าเริ่มหมดสติต้องดูว่าหายใจหรือไม่ ถ้าไม่หายใจให้ทำการกู้ชีพอย่างถูกวิธี หรือโทรขอความช่วยเหลือทางสายด่วน 1669