นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรี จำกัด เปิดเผยว่า คาด SET รีบาวด์แนวต้าน 1,575 / 1,580 จุด ตอบรับ Fed คงดอกเบี้ยที่ 0.25% และยังคงใช้ QE ต่อไป อีกทั้งได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP สหรัฐขึ้นรวมถึงส่งสัญญาณตรึงดอกเบี้ยจนถึงปี 2566 จนกว่าจะบรรลุเป้าหมายการจ้างงานและเสถียรภาพด้านราคา แต่ควรระวังแรงขายลดความเสี่ยงหลัง FTSE rebalance จะลดน้ำหนักหุ้นไทยลงจาก 2.3% เป็น 2.25% มีผลวันพรุ่งนี้ (19 มี.ค.)
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy
AOT MINT CENTEL AAV BA CPN CRC MAJOR ได้อานิสงส์วัคซีน Covid-19 HANA KCE TU CPF อานิสงส์เงินบาทที่อ่อนค่าลงหุ้นกระแสกัญชง CBG ICHI SAPPE RBF DOD IP TACC GUNKUL KISS
ส่วนหุ้นแนะนำวันนี้
KBANK (ปิด 147 ซื้อ/เป้า 162) คาดกำไรกลับมาฟื้นตัวเด่นในปีนี้ตามทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจนอกจากนี้ค่าใช้จ่ายโดยเฉพาะค่าใช้จ่ายจากการตั้งสำรองหนี้สูญมีแนวโน้มลดลงหลังจากเร่งตั้งเผื่อไว้แล้วในปีที่ผ่านมาDTAC (ปิด 33.25 ซื้อ/เป้า 57) ราคาหุ้น Underperform ตลาดในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานโดยรวมยังดี และมี Upside จากการเปิดเมืองซึ่งจะเพิ่มยอดใช้ซิมและมือถือของนักท่องเที่ยวและกลุ่มผู้ใช้แรงงานต่างด้าวเพิ่มมากขึ้น
ประเด็นสำคัญวันนี้
เฟดคงดอกเบี้ยและวงเงิน QE ตามคาด: เฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.25% และคงวงเงิน QE ที่ระดับ 1.2 แสนล้านดอลลาร์ต่อเดือน และส่งสัญญาณคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำไปจนถึงปี 2023 ด้าน GDP เฟดปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP ปีนี้ขึ้นเป็น 6.5% จากเดิม 4.2% และลดคาดการณ์การว่างงานเป็น 4.5% จากเดิม 5%
ประชุม BoE วันนี้และ BoJ พรุ่งนี้คาดคงดอกเบี้ยในทิศทางเดียวกับเฟด: คาดคณะกรรมการนโยบายการเงินอังกฤษ BoE จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.1% และคงวงเงิน QE ที่ 8.95 แสนล้านปอน์ตามเดิม เช่นเดียวกับคณะกรรมการนโยบายการเงินของญี่ปุ่น (BoJ) คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ -0.1% ตามเดิมเช่นกัน
น้ำมันดิบยังอยู่ในโซนพักตัวหลังสต๊อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้น: ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงเล็กน้อย 20 เซนต์ ปิดที่ระดับ 64.6 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ผิดหวัง EIA รายงานสต๊อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 2.4 ล้านบาร์เรลมากกว่า Consensus คาดไว้ที่ 4 แสนบาร์เรล นับเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 4 นอกจากนี้ EIA ยังระบุว่าดีมานด์ในตลาดโลกจะยังไม่กลับสู่ระดับก่อน Covid-19 จนกว่าจะถึงปี 2566
