ฟุตบอล “ไทยลีก” เหลือเพียง 1 นัดจะได้บทสรุปทุกอย่างของฤดูกาล 2019 ทีมไหนแชมป์ ใครตกชั้น รู้กันแน่หลังจบเกมวันที่ 26 ต.ค.นี้
สถานการณ์ล่าสุดหลังจบนัดที่ 29 เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเหลือแค่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ไปลุ้นแชมป์กันในนัดสุดท้าย….ตามความคาดหมาย
ขณะที่ เชียงใหม่ และ ชัยนาท ฮอร์นบิล ตกชั้นอย่างเป็นทางการไปเรียบร้อยแล้ว 2 ทีม แต่ยังเหลือ “ตั๋วมรณะ” อีก 1 ใบให้อีก 3 ทีมไปลุ้นอยู่รอดในเกมสุดท้าย
นี่คือฤดูกาลที่ “ไทยลีก” ลุ้นสนุกเข้มข้นแบบห้ามกระพริบตาจนถึงนัดสุดท้ายเลยทีเดียว
สำหรับการลุ้นแชมป์ต้องบอกว่า “ปราสาทสายฟ้า” กุมความได้เปรียบเอาไว้จากการมี 57 แต้ม นัดสุดท้ายหากบุกไปชนะ “พยัคฆ์ล้านนา” ที่ตกชั้นไปแล้วจะคว้าแชมป์ทันที
ขณะที่ “กว่างโซ้ง” มี 55 แต้มต้องลุ้นทั้งตัวเองและคู่แข่ง นอกจากต้องบุกชนะ สุพรรณบุรี ที่ลุ้นหนีตกชั้นให้ได้สถานเดียวแล้วยังต้องลุ้นให้ บุรีรัมย์ ไม่ชนะด้วยถึงจะซิวแชมป์
ถ้าดูจากความเป็นไปได้ตรงนี้แล้วโอกาสที่จะเห็น “แชมป์หน้าใหม่” ฤดูกาลนี้คงไม่ง่าย เพราะ “แชมป์หน้าเก่า” ได้เปรียบมากกว่าพอสมควร
แต่คำว่าฟุตบอลอะไรก็เกิดขึ้นได้ ดังนั้นบทสรุปทุกอย่างต้องไปลุ้นกันใน 90 นาทีสุดท้ายของเกมในวันที่ 26 ต.ค.นี้เท่านั้น
นอกจากนี้ยังต้องลุ้นด้วยว่า สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ และ “ไทยลีก” จะบริหารจัดการเรื่องการมอบถ้วยแชมป์อย่างไร ถึงตรงนี้ยังไม่มีความชัดเจนใดๆ
กรณีแบบนี้ไม่ใช่ไม่เคยเกิดใน “ไทยลีก” ที่นัดสุดท้ายมีการลุ้นแชมป์พร้อมกัน 2 สนาม แต่พอมีเหตุการณ์ทำนองนี้ทีไรมักเป็นประเด็นให้ต้องถามทุกทีว่าจะจัดการอย่างไร
สำหรับฤดูกาลนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะเอาไงแน่ แถมล่าสุดผู้บริหารของทีม “เซราะกราว” ออกข่าวมาอีกว่า “ไม่ขอรับแชมป์ที่เชียงใหม่ จะรับถ้วยในบ้านเท่านั้น”
ประเด็นนี้ยังไม่มีคำตอบจากทั้ง สมาคมฯ และ “ไทยลีก” แต่เท่าที่สอบถามเบื้องต้นดูเหมือนจะ “รับลูก” ในแนวทางไปมอบถ้วยแชมป์ที่บุรีรัมย์
ทั้งนี้ต้องรอยืนยันอย่างเป็นทางการอีกครั้งว่าสรุปอย่างไรแน่ ที่แน่ๆกลายเป็น “ดราม่า” ที่มีการแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวางในสังคมฟุตบอลไทยไปเรียบร้อยแล้ว
ถ้า สมาคมฯ และ “ไทยลีก” เลือกปฏิบัติแบบสากลทั่วไปเหมือนที่ลีกหลายชาติทำกัน มอบถ้วยแชมป์ในนัดสุดท้ายให้จบเลย คงจบดราม่า
แต่ถ้าเลือกทำอะไรที่แปลกแหวกแนวคงเป็นประเด็นให้วิพากย์กันอีกยกใหญ่ และควรต้องอธิบายเหตุผลด้วยว่าเพราะอะไร ทำไม ถึงไม่มอบแชมป์ให้จบๆไปอย่างที่ควรเป็น
เข้าใจอยู่ว่าการมอบถ้วยแชมป์ในประเทศนี้มัน “เรื่องเยอะ” ไม่ใช่แค่มอบถ้วยให้ทีม นักเตะรับไปฉลองกันเป็นอันจบเหมือนที่เห็นกันในลีกสากลทั่วไป
แต่ต้องมีบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ บรรดาสปอนเซอร์ผู้สนับสนุนต่างๆ ขึ้นบนเวทีมอบนู้น นี่ นั่น หรือถ่ายรูปอีกสารพัดขั้นตอนพิธีการ
ตรงนี้เข้าใจได้อยู่ว่าต้องเอาใจสปอนเซอร์ เพราะฟุตบอลไทยหาสปอนเซอร์ไม่ง่าย แต่มันควรมีวิธีการที่ลงตัวแบบพอดีๆ
ที่สำคัญ สมาคมฯ และ “ไทยลีก” ต้องพิจารณาตามความเหมาะที่ “ฝ่ายจัดการแข่งขัน” ควรพึงกระทำ ไม่ใช่แค่ “ตามใจสโมสร” อย่างที่หลายคนฟันธงคาดเดาไว้ล่วงหน้าแล้ว
ไม่ว่า สมาคมฯ และ “ไทยลีก” ตัดสินใจอย่างไรอย่าลืมว่าจะเป็น “บรรทัดฐาน” สำหรับฤดูกาลต่อๆ ไป และอย่าได้ลืมว่าเคยว่าอะไรใครเอาไว้ ระวัง “ว่าให้เขา ไอ้เราเป็นเอง”
ส่วนสถานการณ์ลุ้นหนีตกชั้นท้ายตารางคะแนนไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไร เชียงใหม่ ที่เพิ่งขึ้นชั้นมาได้ปีเดียวต้องกลับไปเล่น “ไทยลีก 2” ใหม่ตามสภาพ
ขณะที่ ชัยนาท ฮอร์นบิล เพิ่งเลื่อนชั้นกลับขึ้นมาได้ 2 ปีต้องหล่นชั้นไปอีกครั้ง ปีที่แล้วก็เกือบไม่รอดแล้ว แต่ปีนี้ไม่รอดจริงๆ
อย่างไรก็ดีอีก 1 ทีมที่ต้องตกชั้นถือว่าลุ้นกันสนุก นครราชสีมา มาสด้า มี 34 แต้ม สุพรรณบุรี มี 32 แต้ม และ สุโขทัย มี 31 แต้ม 3 ทีมนี้จะรอด 2 ทีม ร่วง 1 ทีม
นัดสุดท้าย “สวาทแคท” โคจรมาเจอ “ค้างคาวไฟ” พอดี คู่นี้ “เจ้าบ้าน” ขอแค่ไม่แพ้จะรอดทันที แต่ถ้าแพ้คาบ้านแล้วอีกคู่ สุพรรณบุรี ชนะจะตกชั้นไปแทน
ส่วน สุโขทัย ต้องมีแต้มเท่านั้น ถ้าบุกชนะได้จะรอดตกชั้น แต่ถ้าเสมอต้องลุ้นให้ สุพรรณบุรี แพ้ถึงจะรอดด้วยผลต่างประตูได้-เสียที่ดีกว่า เพราะ “เฮดทูเฮด” สุโขทัย กับ สุพรรณบุรี เท่ากัน
ด้าน สุพรรณบุรี ถ้าชนะ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ที่ลุ้นแชมป์ได้จะรอดตกชั้นทันที แต่ถ้าเสมอต้องลุ้นให้ สุโขทัย ไม่ชนะ หรือถ้าแพ้ต้องให้ สุโขทัย แพ้ด้วยเท่านั้นถึงจะอยู่รอด
ใครจะแชมป์ ใครจะตกชั้น วันเสาร์ที่ 26 ต.ค.นี้ได้คำตอบครบทุกอย่าง
“บับเบิ้ล”
