โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

“แคทรียา อิงลิช” บางมุมในชีวิตก็ “ไม่โอเคนะคะ”

TheHippoThai.com

อัพเดต 16 พ.ย. 2561 เวลา 03.42 น. • เผยแพร่ 15 พ.ย. 2561 เวลา 13.00 น.

“แคทรียา อิงลิชบางมุมในชีวิตก็ไม่โอเคนะคะ”

หลายปีในวงการ  “แคทลียา อิงลิช”  คือหนึ่งในไอคอนของอุตสาหกรรมบันเทิงบ้านเรา ทั้งบทบาทการเป็นนักร้องและนักแสดง แต่ใครเล่าจะรู้ว่าภายใต้รอยยิ้มและความสนุกสนานที่เราได้เห็น เธอก็มีด้านที่ทุกข์ใจเฉกเช่นคนอื่นเหมือนกัน ติดตามอ่านบทสัมภาษณ์ของเธอได้ด้านล่างนี้

 “ความรับผิดชอบของเราคือต้องไปทำงาน“ 

“เรามีปัญหาอะไร เราเศร้า เราต้องเก็บไว้ เพราะความรับผิดชอบของเราคือต้องไปทำงาน เพราะคนอีกเยอะแยะต้องทำงานกับเรา ช่างกล้อง ช่างไฟ สวัสดิการ เราไม่รับผิดชอบ งานเขาเสีย ไม่ใช่งานของเราคนเดียว” แคทกล่าวถึงทัศนคติในการทำงานของเธอที่ถูกปลูกฝังมา

“เราเป็นคนที่สนุกนะ สนุกสนาน มีความสุขกับการทำงานเสียส่วนใหญ่ (หัวเราะ)ใจรักด้วย มันเป็นสิ่งที่มันทำให้เราลืมอย่างอื่น  เราโฟกัสกับงาน เรารับผิดชอบเรื่องการงานอยู่แล้วเพราะคุณแม่ปลูกฝังมาแต่เด็ก“

แต่สำหรับคนที่ตั้งใจทำงานและโฟกัสกับสิ่งที่ทำมากเช่นเธอ กลับกลายเป็นเหตุนำมาซึ่ง “โรคซึมเศร้า”

กลับบ้านไปสะอื้นเป็นวันๆ อยู่เฉยๆ ก็อยากร้องอยากกรี๊ด

“ดวงตาสวรรค์” ละครที่ทำให้เธอไปสู่จุดสูงสุดของหน้าที่การงาน ที่แลกมาด้วยจุดดำดิ่งของชีวิต

“ละคร ‘ดวงตาสวรรค์’ เรื่องนั้นทำให้จิตตกมาก ทำให้โรคซึมเศร้าเข้ามาทันที เพราะเราต้องเล่นบทกึ่งจิต ตัวละครมันทะเยอทะยาน มาจากบ้านนอก บ้านจน โดนพ่อเฆี่ยนตั้งแต่เด็ก โตขึ้นเลยกลายเป็นเด็กที่ต้องได้ดี ต้องได้ผัวรวยอยู่อย่างสบาย ต้องเป็นดารา” 

“พอเราไปเล่นตรงนั้นปุ๊บ อินเนอร์เราต้องเยอะ ต้องมีอะไรข้างในให้เราเล่นบทนี้ได้ แล้วมันไม่ได้เล่นสองสามเดือน เล่นอยู่หกเดือน เราดึงตัวเองออกมาไม่ได้ ในฉากคือต้องร้องไห้ ต้องบ้า ต้องสติแตกอะไรต่อมิอะไร จนสุดท้ายถูกรถชนตาย”

“มีอยู่วันนึงมีฉากร้องไห้ยี่สิบสามสิบฉาก อยู่อย่างนั้นอ่ะ ปล่อยไม่ได้ด้วย เพราะหลุดแล้วยาก ออกมาจะร่าเริงแล้วกลับไปร้องไห้ต่อมันยาก อยู่อย่างนั้นทั้งวัน กลับบ้านไปสะอื้นเป็นวันๆอยู่เฉยๆ ก็อยากร้องอยากกรี๊ด จนกลายเป็นโรคซึมเศร้าไปเลย”

“เรากลายเป็นคนนิ่ง เก็บตัว โลกส่วนตัวสูง ความสดใสมันหายไป”

“มาช่วงคุณพ่อเสีย ตัวเราเปลี่ยนเยอะมาก ตอนนั้นดีจากโรคซึมเศร้าบ้างแล้ว แต่พอคุณพ่อเสีย นิสัยเราก็เปลี่ยนเลย อ๊องเลย เป็นการสูญเสียที่หนักที่สุดในชีวิต” แคทเล่าถึงเหตุการณ์ที่เป็นมรสุมชีวิตของเธอ

“เรากลายเป็นคนนิ่ง เก็บตัว โลกส่วนตัวสูง ความสดใสมันหายไปเยอะเลย ตอนหลังเราเริ่มปล่อยวางหลายๆ อย่าง แล้วพยายามดึงตัวเองขึ้นมา”

“พอเราดาวน์มากๆ เรารู้สึกว่าไม่ไหว ต้องปล่อยเรื่องเครียดๆ ออกไปก่อน จนมันค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ พอจะลงอีกก็ดึงตัวเองขึ้นมาอีก ดูหนังตลกก็ได้ พอเราทำงานเยอะๆ มันก็ดี เราได้โฟกัสกับงาน สิ่งอื่นก็ลืมไปก่อน พอเราลืมไปเรื่อยๆ ก็นึกถึงมันน้อยลง”

“เราเข้าใจความรู้สึกคนที่มาขอถ่ายรูป แต่เราดีงตัวเองออกมาให้ร่าเริงไม่ได้”

“ก่อนหน้านี้เราไม่รู้จะเล่าเรื่องนี้ไปเพื่ออะไร” แคทเล่าถึงเหตุผลที่ไม่ได้มาเล่าสู่กันฟัง “บางทีเราเพิ่งร้องไห้ น้ำตากำลังไหล คนก็มาขอถ่ายรูป บางครั้งเราก็มีความรู้สึกว่าอย่าเพิ่งอะไรกับฉันได้ไหม…”

“เราเข้าใจความรู้สึกคนที่มาขอถ่ายรูป แต่เราดีงตัวเองออกมาให้ร่าเริงไม่ได้” แคทเล่าถึงความรู้สึกด้านหนึ่งในใจ “บางครั้งยากนะ กับการที่เราจะอยู่ในวงการแล้วเป็นคนของประชาชนเราไม่ใช่หุ่นยนต์ เราเป็นคนนะ มีเลือดเนื้อมีจิตใจ แต่เป็นสิ่งที่คนทั่วไปมองข้าม เลยทำให้เราดาวน์เหมือนกัน”

“บางทีคนเราก็ต้องหยิ่งบ้าง”

“มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่โรงพยาบาล เป็นเรื่องของ "เจนนี่-เจนนิเฟอร์ โปลิตานนท์" คุณพ่ออยู่ห้องไอซียูและกำลังจะเสียชีวิต เราก็นั่งกันอยู่ข้างนอกหน้าห้องไอซียู เจนนี่ก็ร้องไห้อยู่ เรากำลังจัดการว่าเมื่อคุณพ่อไปแล้วจะตั้งวัดไหน พนักงานของโรงพยาบาลก็เข้ามา ‘ขอโทษนะคะ ขอถ่ายรูปได้ไหมคะ’ จริงๆ ตอนนั้นทุกคนโมโหหมดเลย”

“เราก็บอกว่า ‘เอ่อ…ขอโทษนะคะ มีมารยาทนิดหนึ่งเนาะ เราอยู่หน้าห้องไอซียูกันนี่คือมีเหตุผล แล้วเจนนี่ก็ร้องไห้อยู่ เห็นใจกันนิดหนึ่งค่ะ’ เชื่อไหมว่าเขาพูดว่า ‘หยิ่งเชียว’…” แคทจึงตัดสินตอบกลับไปว่า….

“เราก็ตอบไปว่า ‘บางทีคนเราก็ต้องหยิ่งบ้าง แล้วคุณก็เห็นแก่ตัวเนาะ คุณกำลังดูเหตุการณ์อยู่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ได้มาร้องไห้เล่นละครจ๊ะ พ่อเจนนี่กำลังจะเสียชีวิต เห็นใจกันนิดหนึ่งค่ะ’ คือมันไม่ใช่แล้วอ่ะ”

“แคทไม่ได้ขออะไรมาก…”

ถึงตรงนี้แคทเปิดใจกับเราว่า “เราพยายามบาลานซ์ตัวเองนะ แต่ถามว่าประชาชนจะเข้าใจไหม ไม่มีทางเข้าใจอยู่แล้ว เพราะทุกคนคิดว่าเราเป็นคนของประชาชน เราเป็นคนมีชื่อเสียง”

“งานศพของคุณพ่อแคทก็ขอถ่ายรูปได้ไหมคะ กลางงานศพพ่อ นี่คือสิ่งที่ประชาชนมองข้ามไป เราก็เจอเหตุการณ์เหมือนคุณ เป็นเรื่องที่ทำให้เราซึมเหมือนกัน คือไม่เห็นใจเราเลยเหรอบางทีมันทำให้เรารู้สึกเครียดนะว่าต้องวางตัวยังไงต่อหน้าประชาชนตลอด 24 ชั่วโมงเหรอ”

“แคทไม่ได้ขออะไรมาก แค่บางครั้งในบางสถานการณ์คุณก็ต้องมีมารยาททางสังคมเหมือนกัน ไม่ใช่แค่กับแคท แต่กับดาราทุกคนค่ะ”

ขอบคุณสถานที่ : The Company Bangkok  Co - Working Space

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0