ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์เศรษฐกิจในไตรมาสแรกปี 2563 จะขยายตัวไม่ถึง 1% ต่ำที่สุดในรอบ 5 ปีต่ำกว่าที่รัฐบาลคาดไว้ราวๆ2.8 ค่อนข้างมากปัจจัยลบใหม่คือ”ไวรัสโคโรนา”กระทบการท่องเที่ยวที่เป็นรายได้หลักของประเทศโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากจีนที่เป็นลูกค้ารายใหญ่คาดว่าจะหายไปไม่ต่ำกว่า 80 % หรือเกือบๆ10ล้านคน
”นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์”รองนายกรัฐมนตรีจึงหยิบไอเดียเพิ่มวันหยุดยาวช่วงหยุดสงกรานต์มาปัดฝุ่นแว่วว่าจะหยุดถึง9วันเลยทีเดียว คาดหวังว่าจะทำให้คนเดินทางกลับภูมิลำเนาและจะช่วยให้เกิดการท่องเที่ยวมากขึ้น แต่เพื่อไม่ให้กระทบวันหยุดภาพรวมทั้งปีจึงจะไปพิจารณานำวันหยุดชดเชยของช่วงครึ่งปีหลังหรือปลายปีเอามาไว้ในไตรมาส 1 และไตรมาส 2 แทน แล้วปลายปีก็ไม่ต้องมีวันหยุดชดเชยอีก เป็นการกระตุ้นให้คนไทยหันมาท่องเที่ยวภายในประเทศในช่วงครึ่งปีแรกแทน
อันที่จริงมาตรการเพิ่มวันหยุดยาวกระตุ้นการท่องเที่ยวนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ไม่ใช่เพิ่งจะปิ๊งไอเดียครั้งนี้ครั้งแรก หากยังจำกันได้ในยุครัฐบาล”คสช.”ที่มีดร.สมคิดเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจก็เคยทำมาแล้ว ซึ่งเป็นแนวความคิด”กอปปี้”รัฐบาลจีนที่เคยใช้ได้ผลโดยให้ประชาชนหยุดยาวได้เดินทางท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลตรุษจีนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
แต่อย่าลืมว่าบริบทของสังคมไทยกับของจีนนั้นต่างกัน ของเขานั้นได้ผลเพราะรัฐบาลสั่งประชาชนได้ แต่ของเราไม่รู้ว่ารัฐบาลเคยประเมินผลกระทบหรือไม่ ว่าการหยุดยาวในครั้งที่ผ่านๆมา กระตุ้นการท่องเที่ยวได้มากน้อยแค่ไหน ในทางกลับกันจะส่งผลกระทบกับธุรกิจและคนทำงานในภาคธุรกิจอื่นๆเสียหายไม่มากก็น้อย
อย่างน้อยๆการหยุดยาวกระทบกับธุรกิจรายเล็กรายน้อยพวกหาเร่ แผงลอยร้านอาหารที่มีนับหมื่นๆรายในกรุงเทพฯจะเงียบเหงาเพราะคนออกไปต่างจังหวัด พนักงานร้านอาหาร พนักงานสถานีบริการ พวกทำงานลูกจ้างรายวันหาเช้ากินค่ำมีไม่ต่ำกว่าล้านคน จะต้องขาดรายได้ คนพวกนี้หากินวันหนึ่ง300-500บาท ถ้าหยุดยาว9วันรายได้เขาหายไป2700—4500 บาทเงินที่หายไปไม่ใช่น้อย เขาจะอยู่อย่างไร จะเอาอะไรกิน
นอกจากนี้ยังกระทบกับภาคการผลิต บางโรงงานหยุดยาวการผลิตต้องหยุดชะงัก กระทบต่อออร์เดอร์ที่ส่งให้ลูกค้าทั้งในและต่างประเทศยิ่งประกาศกระทันหันอาจจะวางแผนการผลิตไม่ทัน หากต้องทำงานวันหยุด จะต้องจ่ายโอที.ค่าแรงเพิ่มทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นตาม ยังจะกระทบกับธุรกิจโลจีสติก ต้องหยุดชะงักเพราะวันหยุดยาวหลายๆวัน
รัฐบาลอาจจะไม่รู้ การประกาศหยุดยาวอย่างกระทันหันจะกระทบกับแผนการทำธุรกิจไม่ว่าจะเป็นการประชุม เจรธุรกิจทั้งในและต่างประเทศต้องวางแผนกันใหม่ทั้งหมด คงมีแต่สถาบันการเงินและตลาดหลักทรัพย์ที่หยุดได้ไม่เกิน3วันแต่การทำธุรกรรมก็คงไม่เต็มที่
ที่ผ่านๆมาจะเห็นว่าในวันหยุดยาวๆให้คนไทยไปเที่ยวในประเทศนั้นได้ผลเฉพาะกับ คนชั้นกลางลงมาที่ไม่มีกำลังพอจะไปเที่ยวต่างประเทศ แต่คนรุ่นใหม่ พวกเศรษฐี พวกไฮโซไฮซ้อทั้งหลายก็จะถือโอกาสช่วงหยุดยาวเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ ขนเงินไปช้อปปิ้งโดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น ที่มีสถิติคนไทยไปเที่ยวช่วงวันหยุดยาวปีใหม่ สงกรานต์มาก เป็นอันดับ2รองจากนักท่องเที่ยวจีน
แทนที่รัฐบาลจะประกาศหยุดยาวให้คนไปเที่ยวกระตุ้นเศรษฐกิจน่าจะใช้วิธีรณรงค์หรือมีแคมเปญจูงใจให้เศรษฐีมีเงิน ไฮโซ ไฮซ้อ ทั้งหลายงดเที่ยวต่างประเทศช่วยชาติหันมาเที่ยวในประเทศสักปีจะดีกว่า หรือให้นักการเมือง หน่วยงานราชการ หลักสูตรต่างๆงดดูงานต่างประเทศ แล้วเอางบฯมาจัดดูงานในประเทศน่าจะได้ประโยชน์มากกว่า
ถ้าคนไทยมีวันหยุดยาว แล้วท่องเที่ยวในไทยตามที่รัฐบาลคาดหวัง ก็ดีไป แต่ถ้าไม่เป็นไปตามเป้ากลับเปิดช่องคนไทยแห่ไปเที่ยวต่างประเทศขนเงินไปชอปปิ้งมีแต่จะเสียหาย
หักกลบลบกันแล้ว ไม่แน่ว่าหยุดยาวจะได้ประโยชน์จริงรึเปล่าน่าจะได้ไม่คุ้มเสียการหยุดยาวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ คงจะเป็นแค่เพ้อฝัน
