โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

บันเทิง

“นุสบา” งามอย่างไทย ในบทบาทภริยารัฐมนตรี บ่นน้อยใจลูกโตเป็นหนุ่ม ไม่ให้กอด

Manager Online

เผยแพร่ 09 ต.ค. 2562 เวลา 21.52 น. • MGR Online

เปิดใจ "นุสบา" กับบทบาทภริยารมต. ชีวิตไม่เปลี่ยน ไม่มีเลขา ไม่มีผู้ติดตาม ลั่นเหมือนทูตวัฒนธรรม นำเสนอผ้าไทยสู่สายตาชาวโลก ชี้ก่อนเห็นเป็นครอบครัวเฟอร์เฟกต์ ไม่มีใครรู้ว่าผ่านอะไรมา บางครั้งนั่งร้องไห้น้อยใจลูกเย็นชาใส่ ไม่ให้หอมเหมือนเดิม สะเทือนใจลูกขอพื้นที่ส่วนตัว เริ่มเป็นวัยรุ่น

หลัง “บี พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์” สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ และแกนนำพรรคพลังประชารัฐ ได้รับหน้าที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ก็ทำให้ภรรยาคนสวยมากความสามารถ “นุสบา ปุณณกันต์” ได้รับหน้าที่ในฐานะภริยารัฐมนตรีเกียรติยศ (Minister-in-Attendance) ของรัฐบาลไทยไปด้วย โดยวันนี้ได้เจอเจ้าตัว มาร่วมงาน “ปิยมหาราชานุสรณ์ 2562” ณ สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ ก็เลยขออัปเดตสักหน่อย ว่าชีวิตการเป็นภรรยารัฐมนตรีนั้นเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง

“จริงๆ ก็เป็นคนเหมือนเดิมอะเนอะ อาจจะมีงานที่ต้องทำเพิ่มขึ้นในส่วนของกิจกรรมและงานพระราชพิธีอะไรบางอย่าง ที่เราต้องไปร่วม ในฐานะคู่สมรส แต่ถ้าจะไปต้องมีหมายออกมา ว่าครม.และคู่สมรส เราก็ไปกันทั้งหมด ก็แล้วแต่ว่าเราต้องไปปฎิบัติหน้าที่อะไรอย่างไรค่ะ”

“ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปนะ ยังถ่ายละครเหมือนเดิม ไปไหนคนเดียวหัวฟูเหมือนเดิม ไม่มีเลขา ไม่มีผู้ติดตาม กินข้าวง่ายๆ กินข้าวกองถ่าย แล้วก็ยังดูแลลูกทั้งสองเหมือนเดิม แต่ถามว่าเนี้ยบมากขึ้นไหมจริงๆ ก็พยายามเหมือนเดิมแหละ ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ถ้าเราอยู่ในหน้าที่การงาน ในพิธีการเราก็ต้องรอบคอบ ต้องระวังตัว ทำให้ถูกต้อง อย่าทำผิด อย่ายืนผิดที่อะไรแบบนี้ ทุกอย่างมันมีขั้นมีตอน”

เผยเแรกๆ ก็มีตื่นเต้นเป็นเรื่องปกติ หน้าที่ที่ต้องทำก็ไม่มีอะไรมาก แค่ดูแลสามีในทุกเรื่อง คอยเตือนและคอยคิดต่าง ชี้ให้เห็นปัญหาในมุมมองของคนอื่น

“ครั้งแรกก็ระวังตัว ตื่นเต้น เข้าทำเนียบวันแรกก็ตื่นเต้น เป็นเรื่องปกติแหละ เราเคยแต่เล่นละครว่าเป็นคุณหญิงนอกทำเนียบ ตั้งแต่สมัยเล่นละครอายุ 18 แต่ก็มีความรู้สึกว่าอันนี้เป็นบทบาทหน้าที่ที่ถ้าได้มีโอกาสทำแล้ว ก็อยากทำให้ดีที่สุด จริงๆ หน้าที่ไม่มีอะไรมากเลย ก็ดูแลพี่บีให้ทำงานออกไปให้ส่วนรวมแล้วก็สังคม อย่างมีประสิทธิภาพ แล้วก็คอยซัปพอร์ตในเรื่องของการให้กำลังใจ เรื่องอาหารการกิน เรื่องบุคลิกภาพ เรื่องการแต่งตัว คือเป็นมุมมองของแม่บ้าน ที่มองออกไป แล้วก็คอยเตือน คือเวลาคุยกัน เราก็จะพยายามเป็นฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับเขา แล้วจะพยายามบอกเขาว่าถ้าเป็นคนที่ไม่ได้คิดเหมือนเขา เขาจะคิดต่าง เขาจะคิดยังไง ต้องแก้ตรงนี้ให้เขาได้นะ คือเราต้องเป็นแบบนั้น”

ขอบคุณคนชมเรื่องการแต่งตัว พยายามใส่ผ้าไทย ฝีมือคนไทย เพื่อสนับสนุนสินค้าไทย และเผยแพร่หัตถกรรมให้กับคนรุ่นใหม่

“ก็ขอบพระคุณมากนะคะ ที่เป็นกำลังใจกัน เพราะว่ามือใหม่ ก็อาจจะมีผิดพลาดตกหล่นไปบ้าง แต่ครั้งแรกทุกคนก็ต้องมีอุปสรรค มีข้อผิดพลาด แต่ว่าข้อผิดพลาดบางอย่างก็ทำให้เราเรียนรู้ แล้วก็แก้ไข ทำให้ดีขึ้น ก็เรียบง่าย เน้นเป็นของไทยมากขึ้น พอเราได้อยู่ตรงนี้แล้ว จะเป็นของไทยแบบเก่า แบบโบราณ หรือร่วมสมัย ที่พัฒนาฝีมือแบบไทยๆ เราจะชอบมาก แล้วก็มีโอกาสได้อยู่ตรงนี้ ก็เหมือนกับเราได้ข้อมูล ว่าคนนี้มีประสิทธิภาพทางด้านนี้นะ เราก็สนับสนุนแล้วก็อยากให้เขาเติบโตเท่าที่เราจะทำได้ อย่างในงานบางงาน ก็พยายามใช้แต่สินค้าไทย กระเป๋าถ้าเป็นงานพิธีก็จะเมดอินไทยแลนด์เลย แล้วก็ช่วยขายให้เขาด้วย ถ้าเขาขาย ถ้าอยู่ต่างจังหวัดเราก็เอามาถือให้ โดนที่จะบอกเองว่าของจังหวัดนี้ เหมาะกับชุดไหน เหมือนกับสนับสนุนคนที่อยู่ต่างจังหวัด ที่มีฝีมือหัตถกรรม ศิลปะกรรมที่ดี เราก็อยากเผยแพร่ให้เด็กรุ่นใหม่ ให้คนรุ่นใหม่ได้เห็นบ้าง”

ไม่ถึงกับสั่งตัดชุดใหม่ทั้งตู้ บอกไม่ได้ตั้งใจจะเปลี่ยนลุค แค่ใส่ตามที่หมายกำหนดของคู่สมรส

“(หัวเราะ) ไม่ๆ มีตัดบ้าง มีซื้อบ้าง มียืมบ้าง ผสมผสานกันไป คือจริงๆแล้วเราไม่ได้ตั้งใจจะเปลี่ยนลุค แต่ว่าเราทำให้เหมาะสมกับพิธีการ ยกตัวอย่างว่าทำไมเราถึงใส่สีฟ้าหรือสีเหลือง เป็นหมายที่กำหนดออกมา ว่าต้องใส่ชุดไทยประเภทไหน แบบไทยสากล ไทยจิตรลดา ไทยอมรินทร์ หรือไทยเรือนต้น สีอะไรก็จะมีกำหนด แล้วคู่สมรสก็จะใส่สีเดียวกันหมด ติดอะไรต่างๆแบบเดียวกันหมดค่ะ เราไปผิดแบบ ไปคิดเองไม่ได้”

บอกคนจับตามมองเพราะไม่เคยเห็นในบทบาทหน้าที่นี้ ขอบคุณมากสำหรับทุกคำชม ดีใจมีส่วนได้นำเสนอชุดผ้าไหมไทยสู่สายตาผู้นำต่างประเทศ

“ก็อาจจะเขาเห็นเรามาคุ้นเคย แล้วก็มีแฟนละครติดตามดูว่าไม่เคยเห็น อะไรแบบนี้มากกว่าค่ะ ก็รู้เท่าที่ดูในไอจีตัวเองนะ แต่ที่อื่นก็ไม่ค่อยรู้เท่าไหร่ นอกจากเจอกัน เขาว่ายังไงกันบ้าง ก็ขอบคุณมากนะคะ ที่เราดูดีเพราะมันเป็นผ้าไหมไทย ที่ครั้งแรกที่ใส่เราก็ใส่ในงานต่างๆ แต่พอได้ใส่ในโอกาสงานสำคัญ เรารู้สึกว่าต่างชาติเขารู้สึกว่ามันน่าทึ่งมาก อย่างล่าสุดที่ไปรับท่านประธานาธิบดีเกาหลี แล้วก็ท่านภริยา ที่เป็นรัฐมนตรีเกียรติยศ แล้วใส่ผ้าไหมไป เขาชื่นชอบชื่นชมมาก แล้วก็ไปหาซื้อผ้าแล้วแบบสีเดียวกัน แล้วเขาก็บอกว่าเขาจะลองกลับไปตัดแบบสากลที่เขาใส่ได้ ในงานพิธีประเทศเขา เราก็ดีใจ ว่าอย่างน้อยเราได้นำเสนอออกมาว่าผ้าไหมไทยมีคุณค่า แล้วก็ผู้นำระดับประเทศเขาชื่นชอบ ซื้อเป็นพับๆ กลับไป”

เปรยเหมือนได้เป็นทูตวัฒนธรรมไปในตัว

“มันก็แฝงไปด้วยในตัว แล้วสิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราตั้งใจ อย่างน้อยมันไม่สูญเปล่า หรือไปในเชิงแฟชั่นหรืออะไร แต่ว่ามันมีผลกับวิธีคิด ที่ต่างชาติเขามองเรา เราทำตัวให้เหมาะสม ให้ดูดี ไม่ใช่เพื่อตัวเรา แต่หมายถึงว่าเวลาเราไปพูดหรือไปเจอเขาก็จะได้เห็นว่าคนไทยเป็นแบบนี้ คนไทยแต่งตัวแบบนี้ ไม่ได้เหมือนกับในรูปที่เคยเห็น หรือไปได้ยินอะไรมา ผิดๆ ถูกๆ เราก็จะพยายามให้ข้อมูลเขาด้วยจิตวิญญาณของเรา ด้วยภาพของเราด้วย ว่าเราเป็นคนไทยนะ นี่คือผ้าไหมไทย มันมีเรื่องราวเยอะแยะเลยของผ้าไหม เราก็เหมือนได้เผยแพร่ไปด้วย”

ตอนนี้ยังทำงานในวงการเหมือนเดิม ขอบคุณทีมละครเข้าใจ เวลาหยุดเพื่อไปทำงานพิธี

“น้ำหนักก็ลดลงมาเกือบ 5 แล้วตอนนี้ ผอมแล้วผอมอีก ก็แบ่งเวลา อย่างเรามีคิวละครอาทิตย์ละ 3 วัน ส่วนใหญ่ถ้างานพิธี ก็ต้องขอบคุณทีมงานกองถ่ายนะคะ แล้วก็ผู้จัด เขาเข้าใจมากๆ เลย บางอย่างเข้ามากะทันหัน เขาก็จะเข้าใจ แต่ก็ไม่ได้บ่อย มันจะถูกกำหนดไว้ล่วงหน้านาน เราก็สามารถที่จะบริหารจัดการได้ ไม่ได้ไปรบกวนอะไรมากมาย”

เผยต้องพิจารณาเรื่องการรับบทมากขึ้น ถึงแม้ว่าสามีจะไม่เคยห้ามเลยก็ตาม ที่ยังรับงานอยู่ทุกวันนี้เพราะยังมีแฟนๆ ที่คอยติดตามดูผลงานอยู่

“ก็ยังไม่เคยคิดจุดนั้น แต่ว่าตอนนี้ก็ต้องคิดบ้าง ว่ามันจะบันเทิงมากไป ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่จริงๆ แล้วพี่เขาก็ไม่เคยห้ามนะคะ แต่เราก็คิดว่าเอาเท่าที่เวลาเราทำได้แล้วก็ไม่เหนื่อยเกินไป แล้วเราก็ได้มีผลงานอยู่ การแสดงมันเป็นเรื่องของพรสวรรค์ที่มีมากับตัวเรา เรามีแฟนที่ติดตามอยู่จำนวนหนึ่ง เขาก็อยากเห็นและรอคอย ที่เล่นทุกวันนี้ทั้งๆ ที่อายุก็เยอะแล้ว ส่วนหนึ่งเพราะว่าแฟนๆ ละคร ที่เขาเห็นเรามา แล้วบางกลุ่มก็เป็นแฟนเด็กๆ กลุ่มใหม่ๆ ที่เขาก็อาจจะเพิ่งมาดู นั่นคือเราเล่นเพื่อพวกเขามากกว่า ไม่ได้คิดถึงตัวเองเท่าไหร่ แต่ว่าเหมือนกับเขาถามอยู่ทุกวันๆ ออกไปเจอคนก็จะถามเมื่อไหร่เล่นอีก เราก็รู้สึกว่ามันมีคุณค่าทางจิตใจ แล้วเราก็อยากตอบแทนกลับ เราอาจจะไม่สามารถไปเยี่ยมเขาที่บ้านได้ แล้วก็ไม่รู้จะไปเจอเขาตรงไหน แต่การที่เขาเห็นเราทางทีวี มันรู้สึกว่าเราใกล้ชิดกันมาก เราก็ส่งจิตวิญญาณของเราไปถึงเขาด้วย”

เชื่อคนดูเดี๋ยวนี้แยกแยะได้ ระหว่างบทบาทในละครและชีวิตจริง

“คือหนึ่ง เลิฟซีนก็ไม่ได้เล่นมานานแล้ว คงไม่มีใครจ้างให้เล่นอยู่แล้ว แล้วร้ายๆ แรงๆ หลังๆก็ไม่ค่อยมีนะคะ ล่าสุดก็จะเป็นเศร้าน่าสงสาร แต่จริงๆ ก็อยากเปลี่ยนไปเปลี่ยนมานะ สลับไปมา แต่ว่าเดี๋ยวนี้คนดูแยกแยะได้นะ คนดูไม่ได้ยึดติด เขาชอบดูฝีมือการแสดงมากกว่าจะไปยึดติดว่าร้ายแล้วฉันไม่ชอบ ดีแล้วฉันชอบ คนดูเขาพัฒนาไปตามยุค ดูที่ฝีมือแล้วก็คุณภาพมากกว่า”

เผยต้องปรับตัวเองมากขึ้นในการเลี้ยงลูก เพราะเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นแล้ว มีแอบน้อยใจ ร้องไห้ ลูกเย็นชาใส่ ไม่ให้กอดให้หอมเหมือนตอนเด็กๆ

“ก็ต้องปรับตัวเองหลายอย่างนะคะ ลูกเขาเป็นวัยรุ่นแล้ว เราจะไปคิดว่าเขาเป็นเด็กไม่ได้ บางทีก็โดนลูกต่อว่ามา ว่าโตแล้วนะ ไม่ใช่เด็ก จะกอดจะหอมเมื่อไหร่ก็ทำได้ เราก็ต้องเกรงใจเขานิดหนึ่ง เขาโตแล้ว เริ่มอาย เริ่มมีพื้นที่ส่วนตัว เราก็ต้องถอยกลับมา แล้วก็แบบ เออใช่ เราลืมไป ว่าเขาอายุเท่านี้แล้ว คือก็ยังกอดหอมได้ แต่ต้องขอก่อน(หัวเราะ) เราก็ต้องปรับตัวเยอะ มันก็สะเทือนใจในบางครั้งเหมือนกัน เมื่อก่อนเรียกก็มาให้หอม หรือว่าเข้ามาหอมเราก่อน แต่เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนเดิม เดี๋ยวนี้เย็นชากับแม่ ก็มีน้อยใจ นั่งเศร้าร้องไห้ แอบร้องไห้ เขาก็ต้องมาอธิบาย ว่าไม่ใช่ 8 ขวบนะแม่ 18 แล้ว (หัวเราะ) เราก็ต้องปรับตัว ส่วนคนเล็กยังเล่นได้ ฟัดได้ เรียกมาก็มา ตอนนี้เราก็โอเคแล้วแหละ เราก็ต่อว่าเขาไปเรื่อยๆ เขาก็เข้าใจ ดีที่เขาเป็นคนใจเย็น แล้วก็มองเป็นเรื่องสนุกไป”

ไม่กดดันหลายคนมองเป็นครอบครัวที่เพอร์เฟกต์ บอกคนนอกจะมองยังไงก็ได้ แต่กว่าจะถึงจุดนี้ไม่มีใครมารู้ด้วยว่าผ่านอะไรมาบ้าง

“ก็คงเหมือนทุกคนแหละ จริงๆ แล้วสิ่งที่คนมองเข้ามา เราจะถูกมองเป็นแบบไหนก็ได้ เราไม่รู้ แต่ความจริงแล้วชีวิตทุกคนมันก็ต้องผ่านช่วงมีอุปสรรค ปัญหา กว่าจะมาถึงจุดๆหนึ่ง หรือบางทีอาจจะมีอะไรที่หลายคนก็ไม่รู้ ว่าเราต้องต่อสู้กับอะไรมาบ้าง ยกตัวอย่างกว่าน้องปุณณ์จะสอบเข้าหมอได้ มันก็ไม่ได้นั่งอยู่เฉยๆ แล้วได้ เราเห็นความพยายามเขามา 4 ปีเต็มๆ ที่เขาอ่านหนังสือถึงตี1ตี 2 หลายคนอาจจะมารู้ตอนที่เข้าได้แล้ว แต่ก่อนหน้านั้น เขาเป็นยังไง อดหลับอดนอน ไม่ได้กินข้าว ขาดชีวิตท่องเที่ยวที่ควรจะเป็นไป เพราะว่าเขามีใจที่เขาฝันว่าเขาอยากจะเป็น แล้วเราก็เห็นจนเราบอกว่าอย่าเป็นเลย เป็นอย่างอื่นดีไหม คือเราก็ไม่อยากให้เขาเหนื่อย แต่เขาก็ยืนหยัดของเขาว่าเขาต้องทำ ภาพที่เขานั่งดูหนังสือทั้งวันทั้งคืน เป็นภาพที่เราติดตามากเลย คนไม่ได้เห็น ก็นึกว่ามันง่ายมั้ง เราคอยบอกลูกเสมอ ว่าเห็นไหม ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น แล้วก็เป็นคำพูดที่มันไม่ตายจริงๆ”

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0