ไม่อยากเป็นพ่อเด็กแบบไม่เต็มใจ! ต้องทำให้ชัวร์! ว่าไม่ใช่ลูกเราแน่นอน!
ตายแล้วววววว อกอีแป้นจะแตก อีฉันล่ะหัวใจจะวายตายเสียให้ได้ ไปเห็นข่าวแฟนไอ้หนุ่มนั่นน่ะ ชื่ออะไรนะ ป้าก็จำไม่ค่อยจะแม่น อ้อ กัปตัน ชลธร เอ้อ ใช่ ๆ แฟนไอ้หนุ่มนี่ออกมาบอกว่าตัวเองท้อง แล้วก็ฝั่งพ่อแม่และสังกัดของฝ่ายชายทำท่าว่าจะไม่ยอมรับ นั่นนี่นู่นต่าง ๆ มากมาย งงไปหมด อีฉันก็ตามข่าวอยู่บ้างตามประสาคนไทยน่ะนะ ก็อยากจะรู้อยากจะเห็นข่าวสารบ้านเมืองบ้างอะไรบ้าง นี่อย่าพูดไปนะ ติดตามข่าวเรื่องดารามีลูกนี่แหละ สนุกกว่าเรื่องการมงการเมืองอีก เพราะเรื่องดารามีลูกเนี่ยมันยังเอาไปเล่าต่อกันได้สนุกปาก แต่เรื่องการเมืองนี่พูดมากไม่ได้ เดี๋ยวจะโดนเอ็ดเอา เผลอ ๆ ไม่ใช่แค่โดนเอ็ดเอานา แต่อาจจะไมได้พูดอีกเลยก็ได้ ใครจะไปรู้
เอ้อ กลับมาเรื่องไอ้หนุ่มนี่ดีกว่า นี่จะว่าไปแล้วนะ ถึงป้าจะแก่จนหัวหงอกเกือบครึ่งหัวแล้วเนี่ย แต่ป้าก็ไม่ได้จะมาบอกว่าการที่เด็กมันไปโจ๊ะพรึม ๆ กันเนี่ยเป็นเรื่องผิดบาปต้องลงโทษกันให้ถึงตายนะลูกเอ๊ย ฝนจะตก ฟ้าจะร้อง คนจะมีอารมณ์มันห้ามกันได้ที่ไหนล่ะ จะให้ไปเล่นกีฬา นั่งสมาธิก็ไม่ค่อยช่วยหรอก ป้ารู้ดี สมัยสาว ๆ นะ ป้าก็เคยมีอารมณ์สมัยไปวัดไปวา พอดีป้าชอบคนในเครื่องแบบน่ะ เห็นคนใส่ยูนิฟอร์มพระแล้วก็อดใจแทบไม่ได้ นั่งสมาธิไปก็ไม่ช่วยเล้ย แต่มันก็ต้องหาวิธีหักห้ามใจน่ะนะ
เรื่องการหักห้ามใจนี่นะ ถ้าทำได้ก็ทำ แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็ต้องปล่อยไปตามหัวใจอยากที่ "พี่คิว วงฟลัวร์" เขาบอกน่ะนะลูกนะ แต่ทีนี้ถ้าเราจะปล่อยไปตามหัวใจเนี่ยนะ เราก็ต้องรู้จักป้องกันด้วย วิชาเพศศึกษาเขาก็สอนกันอยู่นะว่าเราจะป้องกันได้ยังไงบ้างทั้ง แม้ว่าบางคนอาจจะงง ๆ เผลอหยิบถุงยางไปครอบกล้วยจริง ๆ แบบที่ครูสอนในห้องเรียน การป้องกันนี่นะป้องกันทั้งการท้อง แล้วก็ป้องกันโรคด้วย
ป้องกันการท้องมันก็เป็นเรื่องการคุมกำเนิดนั่นแหละ หมายถึงควบคุมไว้ไม่ให้มี "การกำเนิด" เกิดขึ้นมา ก็คือไม่ให้ท้องนั่นแหละนะ
การคุมกำเนิดในประเทศไทยนี่ก็เริ่มกันจริง ๆ จัง ๆ มาตั้งแต่สมัย จอมพลป.พิบูลสงคราม นู่นแน่ะ ป้ายังไม่เกิดหรอก แต่ก็พอรู้มาบ้าง คือสมัยนั้นเขาสนับสนุนให้คนไทยมีลูกก็จริงนา แต่ว่าเขาก็สอนเรื่องการคุมกำเนิดกับการทำหมันในโรงเรียนแพทย์ด้วย แล้วเรื่องพวกนี้ก็แพร่กันไปไกลสุดในหมู่ชนชั้นกลางนี่แหละ เงินทองก็ไม่ได้จะมีเยอะมากมาย ถ้าผลิตลูกจำนวนมากมาอีกก็ดูท่าทางคงไม่รอด การคุมกำเนิดก็ช่วยได้เยอะแหละ เรื่องการจัดการสภาพคล่องทางการเงิน
หลังจากนั้นไม่กี่สิบปี น่าจะประมาณปี 2500 แนวคิดเรื่องการคุมกำเนิดก็กลายมาเป็นนโยบายสำคัญของประเทศไทย เพราะข้าราชการสมัยนั้นมีแนวคิดว่าถ้าจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นมากเกินไป ความสมดุลของสังคมก็จะถูกทำลาย องค์กรเอกชนต่าง ๆ ก็ให้ความรู้เรื่องนี้แก่ประชาชนมากขึ้น ส่วนองค์กรของรัฐก็จัดเรื่องการวางแผนครอบครัวให้ไปอยู่ในโครงสร้างของกระทรวงสาธารณสุข ตามโรงพยาบาลหลาย ๆ แห่ง ก็จะให้บริการทำหมันชาย-หญิง ใส่ห่วงอนามัย ยาคุม และถุงยางอนามัย
เห็นไหมล่ะไอ้หนู นโยบายเรื่องการคุมกำเนิดนี่เขาสอนกันมาตั้งแต่ 50-60 ปีก่อนกันแล้ว ทำไมไม่รู้จักป้องกั๊นนนนน ในเมื่อรู้ว่าถ้าท้องขึ้นมาแล้วมันจะยุ่งยากขนาดนี้ การงานก็ต้องทำ หนังสือก็ต้องเรียน เป็นข่าวใหญ่โตก็โดนแหกกันอีกกระจุย
แต่เอาเถอะลูกเอ๊ย ในเมื่อมันพลาดแล้วก็ต้องหาทางแก้กันไป ชาวเน็ตก็ไม่ต้องไปรุมจิกหัวด่าเด็กมันมาก เพราะแต่ละคนนี่ก็ไม่ได้จะรู้ข้อเท็จจริงอะไรนักหรอก อ่านจากข่าวมา จริงเท็จแค่ไหนก็ไม่รู้ ด่าไปก็เท่านั้น ยังไงก็แก้ไขอะไรไม่ได้ มาให้กำลังใจเด็กมันดีกว่า แล้วก็บอกลูกบอกหลานบอกตัวเองเอาไว้ว่าถ้ายังไม่ได้พร้อมจะมีลูก ก็ต้องหัดคุมกำเนิดให้ชิน ปัญหามันจะได้ไม่เกิด
เอ้า ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ป้าเล่าเรื่องนี้ต่ออีกหน่อยแล้วกัน คือเมื่อ 2 ปีก่อน ประเทศไทยมีพ.ร.บ.การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นออกมา ระบุว่าให้สถานบริการด้านสุขภาพเนี่ยนะให้ข้อมูลเรื่องการป้องกันปัญหานี้ แล้วก็บอกว่าถ้าวัยรุ่นอายุ 10 ปีขึ้นไป แต่ยังไม่ถึง 20 ปีสามารถไปขอรับบริการคุมกำเนิดโดยการฝังยาคุมแบบกึ่งถาวรไว้ใต้ผิวหนังท้องแขนได้เลย ฟรี! มีทั้งแบบ 3 ปี กับแบบ 5 ปี คือถ้าใครไปฝังแล้ว ก็จะสบายใจได้ว่าภายในช่วงเวลานี้จะไม่ท้องแน่ ๆ แต่! การฝังยาคุมไม่ได้ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์นะเว้ยยยย ป้าเตือนแล้วนะ!
[ยาคุมกำเนิด ชนิดฝัง]
[ยาคุมฝังใต้ผิวหนัง]
อ้างอิง:
1. บทความ "นโยบายคุมกำเนิด" โดย ผศ.ดร.ทวีศักดิ์ เผือกสม
2. ข้อมูลจากงานแถลงข่าว "คุมกำเนิดไทยยุค 4.0" เนื่องในวันคุมกำเนิดโลก 2-17
3. บทความ "This contraceptive goes in your arm" โดย Roshmin Mehandru