เอเจนซีส์ – กระแสเดโมแครตเริ่มกระบวนการอิมพีช “ทรัมป์” ยังคงเชี่ยวกราก “ไบเดน” ออกโรงเรียกร้องครั้งแรกให้ถอดถอนประธานาธิบดีผู้นี้ออกจากตำแหน่ง เนื่องจากพฤติการณ์ “ทรยศชาติ” ขณะที่โพลระบุประชาชนอเมริกันกว่าครึ่งซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ บอกว่าเห็นด้วยกับการสอบสวนและปลดทรัมป์
"เพื่อพิทักษ์รัฐธรรมนูญของเรา, ประชาธิปไตยของเราและคุณธรรมพื้นฐานของเรา เขาควรถูกถอดถอน" อดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน และตัวเก็งที่จะได้เป็นผู้แทนพรรคเดโมแครตลงศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2020 ประกาศท่ามกลางผู้สนับสนุนที่รัฐนิวแฮมเชียร์เมื่อวันพุธ (9 ต.ค.) "เขายิงใส่รัฐธรรมนูญจนเป็นรูพรุน และเราไม่อาจปล่อยให้เขาลอยนวลไปได้" ไบเดนกล่าวในการออกมาเรียกร้องให้ถอดถอนประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันผู้นี้อย่างเปิดเผยเป็นครั้งแรกของเขา หลังจากถูกทรัมป์กล่าวหาซ้ำๆ ว่าเขาและลูกชายทุจริตคอร์รัปชั่น โดยไม่เคยแสดงหลักฐานที่ชัดเจน
ขณะที่ผลสำรวจความคิดเห็น แม้กระทั่งของ ฟ็อกซ์ นิวส์ สถานีทีวีขวาจัดที่หนุนหลังทรัมป์เรื่อยมา ก็ยังระบุว่า ผู้มีสิทธิ์ออกเสียง 51% ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดใหม่ ต้องการให้ดำเนินการถอดถอนและปลดทรัมป์
สำหรับโพลของสำนักข่าวรอยเตอร์และอิปซอสระบุว่า ไบเดนยังคงเป็นผู้สมัครที่มีคะแนนนิยมสูง และทิ้งห่างทรัมป์
กระนั้น ทรัมป์ไม่มีท่าทีสะทกสะท้านต่อการเปิดไต่สวนเพื่อถอดถอนของฝ่ายเดโมแครต โดยข้อกล่าวหาที่สำคัญก็คือ เขาพยายามบีบให้ยูเครนสอบสวนเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของไบเดนในการเลือกตั้งประธานาธิบดีคราวหน้า ซึ่งเป็นการอาศัยต่างชาติเข้ามาแทรกแซงก้าวก่ายการเลือกตั้งของสหรัฐฯ
ผู้นำอเมริกันซึ่งประกาศแล้วว่า ตนเองและคณะบริหารของตนจะไม่ให้ความร่วมมือในการสอบสวนของสภา ทำให้มองเห็นเค้าลางของวิกฤตรัฐธรรมนูญ ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันพุธ (9) ว่า เรื่องนี้อาจไปจบลงที่การให้ศาลสูงสุดเป็นผู้ตัดสิน และโอดครวญว่า พรรครีพับลิกันของตนได้รับการปฏิบัติอย่างเลวร้ายมาก
ทรัมป์ยังทวิตโจมตีว่า ข้อมูลของผู้เปิดโปง (whitleblower) ที่กล่าวหาตนว่ากดดันประธานาธิบดียูเครนนั้น เป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ตอนนี้สิ่งที่ผู้เปิดโปงควรเปิดเผยหรือควรถูกซักถาม จะต้องเป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนของไบเดนมากกว่า
ในทวิตต่อมา ประมุขทำเนียบขาวโจมตีว่า กระบวนการถอดถอนของเดโมแครตมีเป้าหมายเดียวคือ การเลือกตั้งในปีหน้า
อย่างไรก็ดี แม้ปฏิเสธข้อกล่าวหาและไม่ให้ความร่วมมือในการสอบสวน แต่ทรัมป์และรีพับลิกันก็ยังคงนำเรื่องนี้เป็นข้ออ้างกล่าวหาสภาล่างที่เดโมแครตควบคุมว่า ปฏิบัติต่อตนอย่างไม่เป็นธรรม และใช้เป็นเครื่องมือในการระดมทุนและหาเสียง
ทางด้านสเตนีย์ โฮเยอร์ ผู้นำเสียงข้างมากของพรรคเดโมแครตในสภาผู้แทนราษฎร ประกาศว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย ไม่เว้นแม้แต่ประธานาธิบดี
แนนซี เปโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคเดโมแครต เปิดการสอบสวนเพื่อถอดถอนทรัมป์อย่างเป็นทางการเมื่อเดือนที่แล้ว หลังมีการเปิดเผยข้อมูลที่บ่งชี้ว่า ทรัมป์ระงับการให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนมูลค่า 400 ล้านดอลลาร์เอาไว้ก่อน เพื่อกดดันเซเลนสกีระหว่างหารือทางโทรศัพท์ในวันที่ 25 กรกฎาคม ให้เปิดการสอบสวนไบเดนและลูกชายชื่อ ฮันเตอร์ ของไบเดน ซึ่งเคยเป็นกรรมการบริหารบริษัทแก๊สแห่งหนึ่งในยูเครน
ทว่า ทรัมป์ยืนยันว่า ไม่มีการยื่นข้อแลกเปลี่ยน และตนต้องการเพียงแค่จัดการปัญหาทุจริตของไบเดนและลูกชาย ซ้ำยังเปิดเผยในเวลาต่อมาว่า ต้องการให้จีนสอบสวนไบเดนด้วย
วันอังคารที่ผ่านมา (8) ทำเนียบขาวขัดขวางไม่ให้กอร์ดอน ซอนด์แลนด์ เอกอัครราชทูตประจำสหภาพยุโรป ไปให้การต่อรัฐสภา เดโมแครตจึงตอบโต้ด้วยการออกหมายเรียกซอนด์แลนด์ไปปรากฏตัวในวันที่ 16 นี้
นอกจากนั้นทำเนียบขาวยังประกาศว่า จะไม่ให้ความร่วมมือใดๆ ในการสอบสวนโดยอ้างว่า ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
แอดัม ชิฟฟ์ ประธานคณะกรรมาธิการข่าวกรองสภาผู้แทนฯ โจมตีว่า การขัดขวางการให้ปากคำของพยาน รวมถึงปฏิเสธส่งมอบเอกสารที่สภาขอไป เป็นหลักฐานชัดเจนว่า คณะบริหารขัดขวางการสอบสวน
วันศุกร์ (11) นี้ เป็นกำหนดที่มารี โยวาโนวิช อดีตเอกอัครราชทูตประจำยูเครน จะไปให้การต่อคณะกรรมาธิการข่าวกรองสภาล่าง โดยสื่ออเมริกันรายงานว่า ทรัมป์ได้สั่งปลดโยวาโนวิชเพราะขัดขวางความพยายามในการบีบให้ยูเครนสอบสวนไบเดน
อย่างไรก็ดี เมื่อวันพฤหัสฯ (10) ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีของยูเครน ให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า ทรัมป์ไม่ได้ข่มขู่ตนระหว่างการพูดคุยทางโทรศัพท์อย่างที่เป็นข่าว