วันนี้ (19ก.ย.62) รายงานความมั่งคั่งโลกฉบับล่าสุดของ อลิอันซ์ บริษัทประกันและจัดการสินทรัพย์ระดับโลก ซึ่งรวบรวมข้อมูลด้านสินทรัพย์และหนี้สินจากสำนักงานสถิติแห่งชาติในกว่า 50 ประเทศทั่วโลก ครอบคลุมภูมิภาคอเมริกาเหนือ ละตินอเมริกา ยุโรปตะวันออก ยุโรปตะวันตก เอเชีย โอเชียเนีย และแอฟริกา พบ อเมริกาเหนือยังคงเป็นภูมิภาคที่มั่งคั่งที่สุดในโลก และสหรัฐฯ ยังคงรั้งตำแหน่งประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก
กระนั้น ความมั่งคั่งของโลกโดยรวมกลับปรับตัวลดลง โดยเป็นผลพวงจากสงครามการค้า สัญญาณเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และนโยบายการเงินที่มุ่งอัตราดอกเบี้ยต่ำ ทำให้ปีที่ผ่านมา มูลค่าหุ้นในตลาดโลกลดลง 12% ขณะที่สินทรัพย์ทางการเงินโดยรวมของครัวเรือนทั่วโลกลดลง 0.1% รวมมูลค่า 172,500 ล้านยูโร หรือกว่า 5,800 ล้านบาท สวนทางกับปริมาณหนี้ที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น
ขณะที่ในส่วนของไทย อันดับสินทรัพย์ทางการเงินต่อหัวประชากรเมื่อหักลบมูลค่าหนี้ร่วงลง 1 อันดับจากเดิมที่อยู่ที่ 44 ของโลก มาอยู่ที่ 45 ของโลก พ่ายให้กับโคลัมเบียที่ขึ้นมาแทนที่ โดยมีมูลค่าสินทรัพย์ต่อหัวลดลงจาก 4,330 ยูโรเมื่อการจัดอันดับครั้งก่อนในปี 2018 เหลือ 3,575 ยูโร หรือราว 120,600 บาท เนื่องจากปริมาณหนี้ที่เพิ่มขึ้นสูงในอัตราที่เร็วกว่าการครอบครองสินทรัพย์
ซึ่งปริมาณหนี้ครัวเรือนของไทยเติบโต 6% เมื่อเทียบกับปริมาณสินทรัพย์ทั้งหมดที่ขยายตัวเพียง 0.8% ทำให้เมื่อหักหนี้สินแล้ว สินทรัพย์ของครัวเรือนไทยจึงอยู่ที่เพียง 56.4% ของจีดีพี ขณะที่สินทรัพย์ทางการเงินก่อนหักหนี้สินของไทยมีสัดส่วนสูงถึง 134.8% ของจีดีพี
ทั้งนี้ แม้ไทยจะก่อหนี้ในอัตราที่น้อยกว่าอินเดียที่ 17% แต่สัดส่วนปริมาณหนี้ของครัวเรือนไทยเมื่อเทียบกับทั้งภูมิภาค ซึ่งรวมถึงประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ การก่อหนี้ของไทยคิดเป็นสัดส่วน 3% ของภูมิภาค มากกว่าอินเดีย สิงคโปร์ และมาเลเซียซึ่งอยู่ที่ 2% ขณะที่จีน ยักษ์ใหญ่แห่งเอเชียยังคงครองแชมป์สัดส่วนหนี้ครัวเรือนในภูมิภาคที่ 50% ตามมาด้วยญี่ปุ่นที่ 23% และเกาหลีใต้ที่ 12%
นอกจากนี้ ผลพวงจากสงครามการค้า และเศรษฐกิจที่ลดความร้อนแรง ทำให้ครัวเรือนจีนมีการครอบครองสินทรัพย์ทางการเงินหลังหักลบหนี้น้อยลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2000 ร่วงจากอันดับที่ 30 ของโลกมาอยู่ที่ 34 ส่วนสินทรัพย์ทางการเงินก่อนหักลบหนี้ยังลดลงอีก 3.4% ด้านสิงคโปร์ขึ้นแซงญี่ปุ่นมาเป็นประเทศที่ครัวเรือนมีการครอบครองสินทรัพย์มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของเอเชียเป็นครั้งแรก
