โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

เหยื่อแพรวา 9 ศพ เล่าต่อ สู้คดีมาจนสิ้นสุด แต่คู่กรณีไม่เคยมาให้เห็นหน้า ซ้ำทนายบอกถ้าไม่รับเงินเยียวยาตามที่เสนอก็ไปฟ้องเอาเอง

อีจัน

อัพเดต 16 ก.ค. 2562 เวลา 11.04 น. • เผยแพร่ 16 ก.ค. 2562 เวลา 10.54 น. • อีจัน
เหยื่อแพรวา 9 ศพ เล่าต่อ สู้คดีมาจนสิ้นสุด แต่คู่กรณีไม่เคยมาให้เห็นหน้า ซ้ำทนายบอกถ้าไม่รับเงินเยียวยาตามที่เสนอก็ไปฟ้องเอาเอง
กระหึ่มโซเชียลอีกครั้ง เมื่อผู้ใช้&#360…

กระหึ่มโซเชียลอีกครั้ง เมื่อผู้ใช้ทวิตเตอร์ชื่อ tintin 1 ในเหยื่อ แพรวา 9 ศพ ที่รอดจากอุบัติเหตุในครั้งนั้น ได้โพสต์ทวิตเตอร์เล่าเรื่องราวของการสู้คดีในทุกชั้นศาลอย่างละเอียดอีกครั้ง หลังจากเมื่อช่วงเช้าวันนี้(16 ก.ค. 62) ได้ออกมาทวิตข้อความไปแล้ว 

โดยข้อความที่ทวิตใหม่นั้น เจ้าของทวิตเตอร์รายนี้ ระบุว่า วันที่ 27 ธ.ค. 2553 เป็นช่วงมิดเทอม ปี 3 ที่เรียนอยู่ ม.ธรรมศาสตร์ เราอ่านหนังสือจนดึกเพื่อสอบตัวสุดท้าย ก่อนจะกลับบ้านด้วยรถตู้ แต่แล้วก็ไม่ได้กลับมาสอบอีกเลย เหตุการณ์ในอุบัติเหตุครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิตทันที 8 คน มาเสียชีวิตที่โรงพยาบาลอีก 1 คน รวมเป็นมีผู้เสียชีวิต 9 คน และมีผู้รอดชีวิต 4 คน
ขณะนั้นเราหลับอยู่บนรถตู้และตื่นมาด้วยเสียงกรีดร้อง ก่อนจะพบว่าตัวเองและคนอื่นๆอยู่บนโทรลเวย์แล้ว หลังจากนั้นก็ไปที่โรงพยาบาล พบว่าตัวเอง กระดูกไหปลาร้าหัก 3 ท่อน กระดูกเข่าซ้ายแตก แขนขวาหักพร้อมแผลใหญ่ กระจกรถปักทั่วร่างกายจนเลือดอาบ เราโดนรถชนประมาณ 3 ทุ่ม แต่ได้เข้าห้องผ่าตัดก็ตอน 7 โมงเช้า ตอนนั้นมีคนอื่นบาดเจ็บกว่าเราเยอะ
หลังผ่าตัดออกมาเราขยับร่างกายไม่ได้เลย เป็นเวลากว่า 2 เดือนที่ต้องนอนนิ่งอยู่บนเตียง มันยากมากที่จะต้องขับถ่ายบนที่นอน และแน่นอนว่าเราไม่ได้ไปเรียน

ครั้งแรกที่เราได้เจอแพรวาหลังเกิดเหตุ แพรวามาพร้อมกับแม่และช่างภาพ โดยนั่งรถเข็นเข้ามา ซึ่งเรายังนอนติดเตียงอยู่เลย คนที่พูดทั้งหมดคือแม่ เมื่อพูดจบแม่ถึงบอกให้แพรวา “ขอโทษพี่เขาสิลูก” แพรวาก็พูดว่า “หนูขอโทษค่ะ” ก่อนจะมีการมอบขนมเปี๊ยะพร้อมกับถ่ายรูป นั่นคือครั้งสุดท้ายที่เราได้เจอกัน
ตอนเรารู้สึกไม่โกรธแล้วเพราะมันคืออุบัติเหตุ ไม่มีใครตั้งใจ เรารู้สึกดีนะที่เขามาขอโทษ ที่เขาไม่พูดเองอาจจะเพราะยังเด็กและคงกลัวด้วย แต่พอแพรวาและแม่กลับออกไป พี่พยาบาลก็มาเล่าให้ฟังว่า แพรวาเดินมาปกตินะ แต่มาขอรถเข็นที่หน้าวอร์ด ตอนนั้นเราอึ้งไปสักพักเลย
จากนั้นเราหัดเดินใหม่ให้กลับมาปกติอยู่ 1 ปี ระหว่างนั้นก็กลับไปเรียนด้วย ร่างกายปกติทุกอย่าง หลังจากนั้น 3 ปี ก็ต้องคอยไปหาหมอ ค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นประกันรถเป็นคนจ่าย แต่หลังจากออกโรงพยาบาล ทุกครั้งที่ไปเช็คร่างกายเราต้องออกเองซึ่งเป็นเงินจำนวนมาก และตรงนี้เราก็ได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายไปในศาลด้วย

คดีความแบ่งเป็น 2 คดี คือ อาญาและแพ่ง ส่วนของอาญาก็มาหากันว่าใครผิด ระหว่างรถตู้หรือแพรวา ระหว่างนั้นคุณป้าซึ่งเป็นแม่ของคนขับรถตู้ จะยกมือขอโทษเราทุกครั้ง “ขอโทษที่ลูกสาวป้าทำให้เราเจ็บ” เราไม่ได้โกรธเลย แต่เราไม่ได้ยินคำนี้จากแพรวาเลย
คดีอาญามาถึงศาลเด็กและเยาวชน ชั้นต้น วันเปิดคำพิพากษา คณะผู้พิพากษามาถามเราว่า ให้เราเข้ากระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ไหม คดีจะไม่ติดตัวเด็ก ให้มาไกล่เกลี่ยกันคุยกัน โอ้โห แต่ 3 ปีก่อนหน้านี้เราเหนื่อยมาก เขาต่างหากที่ไม่ยอมมาคุย เราเสียใจกับศาลในตอนนั้นจริงๆ
ศาลตัดสินให้เขาผิดแต่ให้รอลงอาญา นั่นหมายความว่าไม่ติดคุก ไปบำเพ็ญประโยชน์แทน ทางทนายของแพรวาเขาอุทธรณ์ในคดีอาญา และก็พาเรามาถึงชั้นฎีกา สูงสุด ซึ่งเป็นเขาเองที่ไม่ยอม แต่เหยื่อยอมหมดแล้ว หมดแรงแล้ว

คดีแพ่งก็เริ่มฟ้องเช่นกัน ศาลชั้นต้นสั่งให้จ่ายตามผลคดีอาญา เพราะแพรวาผิดจริงๆ และให้คนที่แพรวายืมรถจ่ายด้วย แม้ว่าผู้ชายคนนั้นจะไม่ใช่ผู้ปกครอง แต่ศาลมองว่าการที่ผู้ชายคนนั้นไปรับไปส่งแพรวา พ่อกับแม่รับรู้ย่อมเปรียบเหมือนผู้ปกครอง
คดีแพ่งมาถึงชั้นอุทธรณ์ ศาลสั่งให้ลดเงินลงโดยไม่นำสืบ ตามที่ทนายของแพรวายื่นอุทธรณ์ จนมาถึงชั้นฎีกาของคดีแพ่ง ศาลสั่งให้ยืนตามศาลชั้นต้น แต่ก่อนจะเปิดคำพิพากษาชั้นฎีกาของคดีแพ่ง ทางศาลนำเข้ากระบวนการไกล่เกลี่ย
เหตุการณ์นี้แหละ บั่นทอน 9 ปีที่ผ่านมา เรารู้สึกว่าเรายอมเขาทุกอย่างแล้ว ขอประวิงเวลาอย่างเห็นได้ชัด สู้กันถึง 3 ศาล ทั้ง 3 คดี ซึ่งเราไม่เคยเจอแพรวาและพ่อแม่เลย มาถึงไกล่เกลี่ยเราหวังว่ามันคือการพูดคุยกันที่ดี ปรากฏว่าเขาไม่มา ส่งทนายผู้เป็นญาติฝั่งแม่มา

ศาลนัด 08.30 น. เขามา 10.00 น. ทุกคนรอ พอมาถึงคำแรกที่พูดก่อน เขาบอกแค่จะมารับฟังว่าทุกคนจะร่วมไกล่เกลี่ยไหมแค่นั้น ไม่ได้มีประเด็นจะพูดอะไร อันนี้งงสุด แล้วคุณเองหรือเปล่าให้เราเข้าไกล่เกลี่ย เรามาแล้วแต่คุณยังไม่พร้อมอีก
นัดอีกทีหนึ่งเดือนหน้า เราบอกกับแม่เราว่า เขาพูดมาเท่าไหร่ก็เท่านั้นนะแม่ เงินที่รักษาตัวไปมันถือว่าหายไปแล้ว แม่ต้องหยุดทำงานขาดรายได้เป็นปีก็เท่านั้น (ศาลสั่งให้จ่ายค่าชดเชยแม่เราแค่ 4,000 บาท เราก็น้อมรับ) จะได้จบสักที เราก็โอเคกับเงินก้อนนัน้ที่เขาเสนอมา เพราะอยากจบจริงๆ
ศาลนัดรบหน้า คราวนี้เราไม่มาแล้ว ตอนนั้นอยู่ภูเก็ต พี่ทนายโทรมาบอกว่า ทนายฝั่งแพรวาให้ไม่ได้แล้วนะ และก็เกลำโพงให้เราคุยในชั้นไกล่เกลี่ย ทนายของแพรวาบอกว่า ถ้าไม่รับตัวเลขใหม่ก็จบ ไม่คุยแล้ว ไปฟ้องล้มละลายหรือยึดทรัพย์เอานะครับ ได้กันอีกทีก็ไม่กี่บาทหรอก อาจจะไม่ได้เท่านี้

เขาต่อราคาเราอย่างกับผักปลา ในคำร้องให้ศาลทุเลาบังคับคดี โดยทนายของแพรวาบอกเป็นลายลักษณ์ว่า ยินดีชดใช้ถ้าคดีถึงสิ้นสุด โดยอ้างเรื่องชื่อเสียงวงศ์ตระกูล อ้างว่าเป็นทายาท “พลเอกยศ เทพหัสดิน ณ อยุธยา” บุคคลผู้มีชื่อเสียง และประกอบคุณงามความดีของประเทศนี้ เขาเขียนอย่างนี้จริงๆ

เราเลยไม่โอเค ไม่ยอมรับเงินก้อนนั้น ถึงแม้ตอนแรกอยากจะรับเพราะเหนื่อยแล้ว และมันเป็นเงินที่ต่ำกว่าศาลให้ เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาเลย ตลอด 9 ปีที่ผ่านมา ผู้เสียหายทุกคนรู้สึกเหมือนกันหมด แต่เป็นเรื่องความใส่ใจต่างหากที่เราไม่รู้สึกเลย
เมื่อเดือน พ.ค. 2562 ที่ผ่านมา ศาลฎีกาตัดสินยืนตามศาลชั้นต้น ให้ชำระค่าเสียหาย รอบนี้ไม่มีมาทั้งทนายและแพรวาเช่นเดิม สู่ 9 ปีที่ผ่านมาแล้วที่ไม่ได้เจอกันตั้งแต่ครั้งแรก เรายอมทุกอย่าง เชื่อตามศาลทุกอย่าง อดทนไม่พูดมา 9 ปีแล้ว จนมันไม่ไหวแล้ว เราไม่เข้าใจว่าเขารออะไร

เราเข้าใจเลยว่าเธอไม่ตั้งใจ มันคืออุบัติเหตุแต่หลังจากนั้นหรือเปล่า สิ่งที่เพื่อนมนุษย์เขาปฏิบัติต่อกัน มันสำคัญกว่าเรื่องฟ้องร้อง เงินแค่นั้นแลกกับการโดนชนแบบนั้น เราถามว่ามีใครอยากได้บ้าง แลกกับเสียลูกไปใครอยากได้บ้าง
ความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ ก็ต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ด้วยเช่นกัน หวังว่าครอบครัวเทพหัสดิน คงจะได้ยิน #แพรวา9ศพ #เราอยู่ในรถตู้คันนั้นแต่เราไม่ตาย

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0