ยังดำเนินต่อไปไม่หยุดยั้ง หลังชุมนุมใหญ่เติมเชื้อ “ไฟประท้วง” ที่ “จุดติด” แล้ว ให้ยิ่งเป็นเปลวคุโชน โจนทะยานเข้าสู่สัปดาห์ที่ 11 ติดต่อกัน
สำหรับ “ม็อบฮ่องกง” ที่ยังคงปรากฏการณ์ชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาลเขตบริหารพิเศษฮ่องกงต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
หะแรกเริ่มแต่เดิมมา ก็เป็นการประท้วงต่อร่างแก้ไขกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนจากฮ่องกงไปให้แก่จีนแผ่นดินใหญ่ กลายเป็นชุมนุมขับไล่ “แคร์รี หล่ำ” ให้ก้าวลงจากเก้าอี้ผู้ว่าการหญิงของเขตบริหารพิเศษฮ่องกง รวมถึงต่อต้านทางตำรวจฮ่องกง ที่ใช้ความรุนแรงต่อกลุ่มผู้ชุมนุม กระทั่ง ล่าสุดได้เพิ่มประเด็นม็อบเป็นเรื่องต่อต้านการเอารัดเอาเปรียบจากบรรดานายทุนพ่วงไปด้วย โดยเฉพาะนายทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ของฮ่องกง
ยืดเยื้อยาวนานแถมบานปลายในลักษณะเยี่ยงนี้ ก็ทำเอาบรรดาเจ้าสัว มหาเศรษฐี ผู้มีอันจะกิน บนเกาะฮ่องกง บ่นโอดครวญกันเป็นแถว เพราะม็อบชุมนุมประท้วงที่ว่า ส่งผลกระทบต่อเขตบริหารพิเศษแห่งนี้ โดยเ
ฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องเศรษฐกิจ ที่กระทบกระทั่งไปอย่างเต็มๆ
ไม่ว่าจะเป็น “เช็ก แลป ก็อก” สนามบินนานาชาติที่ต้องระงับการให้บริการไปจำนวนนับพันเที่ยวบินหลายครั้งหลายครา ตั้งแต่ม็อบได้ก่อเกิดปรากฏการณ์ขึ้น นอกจากนี้ ก็ยังมีเรื่องอุปสรรคาจากการเดินทางภายในเกาะ โดยรถไฟฟ้าใต้ดินพาหนะขนส่งมวลชนสำคัญ
โดยมีรายงานว่า นับแต่ไฟม็อบปะทุขึ้นเมื่อเดือน มิ.ย. เป็นต้นมา ก็ส่งผลให้ มหาเศรษฐีระดับท็อปเทน คือ อันดับ 1 – 10 สุดยอดเจ้าสัวมหาเศรษฐีผู้มีทรัพย์ของฮ่องกงทั้ง 10 คน ล้วนถูกพิษม็อบฮ่องกง ถล่มรายได้ของพวกเขาให้หดหายไปกันถ้วนหน้า
แถมมิหนำซ้ำ ชะตากรรม “รายได้หาย – กำไรหด” ของบรรดาเจ้าสัวเหล่านั้น ก็มีรายงานว่า รวมกันแล้ว ก็มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตั้งแต่ม็อบเริ่มเขย่าเกาะฮ่องกงเมื่อเดือน มิ.ย.เป็นต้นมา
เช่นเดียวกับ ชะตามกรรมด้านเศรษฐกิจมหภาคของฮ่องกง ก็ปรากฏว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายใน หรือจีดีพี ในไตรมาสที่ผ่านมาขยายตัวเพียงร้อยละ 0.6 ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตต่ำที่สุดในรอบ 11 ปี หรือตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา
ด้วยสถานการณ์ของเศรษฐกิจฮ่องกง ซบเซากันเยี่ยงนี้ ก็ถึงขนาดทำให้ “ลี กาชิง” มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของฮ่องกง ต้องออกมาโอดโอยด้วยอาการครวญครางจากตัวเขาเองเลยทีเดียว
โดยนายลี ซึ่งมีฉายาตามชาวฮ่องกงเรียกเขาว่า “ซุเปอร์แมน” ที่ปัจจุบันอายุ 91 ปีแล้ว ได้เรียกร้องเอ่ยอ้างว่า “ในนามแห่งรัก” ขอกระตุ้นเตือนให้การชุมนุมประท้วงที่นำมาซึ่งความวุ่นวายต่างๆ ยุติกันเสียทีเถิด
ขณะเดียวกัน ทางด้าน “สไวร์ แปซิฟิก” ซึ่งกลุ่มครอบครัวมหาเศรษฐีนักลงทุนที่ใหญ่ที่สุดครอบครัวหนึ่งในฮ่องกง ก็ออกมาเรียกร้องให้ยุติการชุมนุมประท้วง รวมถึงการใช้ความรุนแรงต่างๆ โดยเร็ว
ทั้งนี้ ทาง “สไวร์ แปซิฟิก” ต้องถือว่าเป็นกลุ่มทุนที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดกลุ่มหนึ่ง จากการที่ธุรกิจต่างๆ ของพวกเขาได้รับผลกระทบจากม็อบประท้วงอย่างเต็มๆ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว ที่ยอดจองพักโรงแรมของพวกเขาวูบลง และธุรกิจสายการบินคาเธย์แปซิฟิก ที่ทางกลุ่มฯ ถือหุ้นไว้เป็นจำนวนมาก จนเป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ที่สุด ไม่นับห้างสรรพสินค้าระดับไฮเอนด์ของพวก ก็เจอพิษม็อบ จนห้างฯ ต้องอ้างร้างว่างเปล่าเพราะแทบไม่มีคนเดิน
นอกจากนี้ “ซุน ฮุง ไค พร็อพเพอร์ตีส์” กลุ่มทุนมหาเศรษฐีด้านอสังหาริมทรัพย์ของฮ่องกง และถูกจัดว่าเป็นครอบครัวมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยเป็นอันดับ 3 ของทวีปเอเชีย ก็เผชิญชะตากรรมรายได้ที่หดหายไปอย่างมหาศาลด้วยเช่นกัน ซึ่งกลุ่มทุน ก็ถูกม็อบโจมตีอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมาว่า ปั่นราคาอสังหาริมทรัพย์อย่างสูงลิ่ว จนทำให้คนทำงานรุ่นใหม่ ไม่สามารถเป็นเจ้าของที่พักอาศัยในฮ่องกงได้ โดยอย่าว่าแต่จะเป็นเจ้าของ แม้ห้องชุดให้เช่า ก็แพงเหลือหลาย คือ “นาโนอพาร์ทเมนท์” ที่มีขนาดความกว้าง-ยาว แทบจะเท่าๆ กับที่จอดรถ ก็ต้องใช้เงินมากถึง 1,475 ดอลลาร์สหรัฐฯ จึงจะสามารถเข้าพักได้ในแต่ละเดือน
ทั้งนี้ ทาง “ซุน ฮุง ไค พร็อพเพอร์ตีส์” เรียกร้องให้ม็อบยุติการชุมนุม หรือถ้ายังยุติไม่ได้ ก็ขอให้ไม่ใช้ความรุนแรงระหว่างการประท้วง
เช่นเดียวกับ ทาง “วีล็อค แอนด์ โค” ยักษ์ใหญ่อสังหาริมทรัพย์ภายใต้การดูแลของ “ปีเตอร์ หวู” ก็ออกมากระตุ้นเตือนให้เลิกการชุมนุมประท้วงกันได้แล้ว เพราะชนวนเหตุให้ก่อม็อบ คือ ร่างแก้ไขกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนฯ ก็ปิดฉากไปแล้ว พร้อมกันนั้น ก็เรียกร้องให้ฟื้นฟูระเบียบสังคมฮ่องกงกลับมาใหม่ เพื่อเกาะแห่งนี้ กลับมาสถานขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจก่อนเกิดปรากฏการณ์ม็อบ