โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

เมื่อวิกฤตร่างกายเรียกร้องที่เว้นว่าง ให้ห่างห่างจากกันและกัน

The101.world

เผยแพร่ 10 เม.ย. 2563 เวลา 06.27 น. • The 101 World
เมื่อวิกฤตร่างกายเรียกร้องที่เว้นว่าง ให้ห่างห่างจากกันและกัน

รชพร ชูช่วย เรื่อง

ภาพิมล หล่อตระกูล ภาพประกอบ

 

นิดชะงักไปหนึ่งวินาทีก่อนที่จะกดปุ่มลิฟต์เพื่อขึ้นไปที่ออฟฟิศ แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจกด ระหว่างรอลิฟต์ก็ควักเอาเจลแอลกอฮอล์ในกระเป๋าขึ้นมาเช็ดมือ นับเป็นครั้งที่สี่ของเช้านี้ตั้งแต่ออกจากบ้านที่ต้องล้างมือด้วยเจล เริ่มตั้งแต่หลังจากเปิดปิดประตูบ้าน เมื่อลงจากมอเตอร์ไซค์แล้วจ่ายเงินให้พี่วินที่สถานีรถไฟฟ้า และเมื่อออกจากประตูรถไฟฟ้าหลังจากต้องจับราวและเสา เรียกได้ว่าหลังจากทุกครั้งที่ใช้มือจับพื้นผิวใดๆ ที่เป็นของสาธารณะ

มีคนรอลิฟต์อยู่ไม่มากนัก ทุกคนยืนห่างๆ กันอย่างระวังระแวงต่อกัน ก่อนเข้าลิฟต์ นิดเอามือที่เพิ่งล้างจับหน้ากากผ้าที่ใส่อยู่ให้ปิดปากมิดชิดแล้วจัดแว่นกันแดดให้พอดีกับหน้า เมื่อลิฟต์เปิด ก็เห็นบนพื้นลิฟต์มีเทปสีแดงติดอยู่เป็นตารางแบ่งเป็นหกช่องให้คนยืนกันในลิฟต์แบบห่างๆ คนที่เจ็ดที่แปดก็ต้องรอลิฟต์ตัวถัดไป หากเป็นเมื่อก่อนทุกคนคงพยายามแทรกตัวกันเข้ามาในลิฟต์ให้ได้ในระยะหายใจรดต้นคอกัน ไม่มีใครยอมออกไปหากลิฟต์ไม่ส่งสัญญาณบรรทุกนำ้หนักเกิน

แม้ว่าที่บริษัทจะใช้มาตรการทำงานจากที่บ้านมากว่าสองสัปดาห์แล้ว วันนี้นิดต้องมาที่ออฟฟิศเพื่อประชุมกับเพื่อนร่วมงาน เพราะต้องดูตัวอย่างสินค้าพร้อมกัน จริงๆ ก็แอบดีใจที่ได้ออกจากบ้าน แต่ก็อดกลัวไม่ได้เหมือนกัน เมื่อแตะบัตรที่หน้าประตูทางเข้าออฟฟิศ นิดเอามือผลักมือจับประตูสเตนเลสด้วยความเคยชิน แล้วก็ใจหายวูบ เพราะคิดถึงข้อมูลที่แชร์กันตามโซเซียลมีเดียว่าเชื้อไวรัสอันร้ายกาจนี้อยู่ได้บนพื้นผิวสเตนเลสได้นานเป็นสิบๆ วัน (ก็ต้องควักเจลล้างมือออกมาอีกที)​ การเคลื่อนไหวร่างกายในที่สาธารณะนี้ต้องมีสติอย่างมากมายแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยจริงๆ

ในออฟฟิศมีคนบางตา เพราะวันนี้มีคนมาแค่หนึ่งในสี่ของจำนวนคนที่ทำงานกันอยู่เป็นปกติ ทุกคนใส่หน้ากากปิดปากและอยู่ห่างกันเมตรกว่าๆ เป็นอย่างน้อย ไม่มีใครนั่งโต๊ะติดกัน นิดเอาของวางบนโต๊ะทำงานแล้วก็หยิบสเปรย์แอลกอฮอล์ออกมาฉีดบนโต๊ะ พี่ที่นั่งโต๊ะถัดไปสองสามโต๊ะหันมายิ้มพร้อมกับยกนิ้วโป้งไลค์ให้ นิดเอาตัวอย่างสินค้ามาเช็ดแอลกอฮอล์อีกครั้ง ก่อนนำไปวางไว้กลางโต๊ะประชุมที่นั่งได้ 12 คน แต่วันนี้นั่งกันแค่ 4 คน ล้อมรอบโต๊ะแบบห่างๆ การประชุมเป็นไปอย่างรวดเร็ว เพราะไม่มีใครพูดเรื่องไร้สาระที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นหลักเลย แม้ว่าจะไม่ง่ายนักเพราะต้องฟังเสียงของทุกคนจากการพูดผ่านหน้ากาก แต่ก็ยังดีกว่าการประชุมกันทางวิดีโอคอลที่มองไม่เห็น จับต้องสินค้าตัวอย่างไม่ได้ แน่นอนว่าหลังจากผลัดกันจับสินค้าตัวอย่างกันไปทั้งสี่คนแล้ว ทุกคนก็ต้องเช็ดมือด้วยแอลกอฮอล์กันอีกครั้งหลังจากประชุมเสร็จ การเจอหน้ากันหลังจากไม่เห็นตัวเป็นๆ กันมากว่าสัปดาห์แล้วนี่ก็รู้สึกดีเหมือนกัน

เมื่อกลับมาถึงบ้าน นิดถอดรองเท้าไว้นอกบ้าน และรีบเดินขึ้นไปชั้นสามทันทีโดยที่เลี่ยงไม่เจอพ่อแม่และอาม่าที่นั่งดูทีวีอยู่ด้านใน ได้แค่โบกมือและส่งเสียงทักทาย โชคดีที่บ้านนิดเป็นทาวน์เฮ้าส์ที่มีบันไดอยู่ใกล้ประตูทางเข้าบ้าน เมื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว นิดก็เอาผ้าชุบน้ำผสมน้ำยาฆ่าเชื้อโรคที่ได้สูตรมาจากเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยการแพทย์ชื่อดัง มาเช็ดมือจับ ราวบันได และพื้นส่วนต่างๆ ที่นิดได้แตะต้องไปตั้งแต่กลับมาที่บ้าน รวมไปถึงรองเท้าด้วย ก่อนที่จะกลับไปที่ห้องเพื่อทำงานต่อ เพราะนี่ยังเป็นเวลาทำงาน

นิดยังโชคดีกว่าเพื่อนร่วมงานหลายๆ คนที่สามารถทำงานที่บ้านได้อย่างไม่มีอุปสรรคนัก ถึงแม้นิดจะไม่มีห้องนอนส่วนตัว เพราะต้องนอนรวมกับน้องสาวที่เรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย แต่น้องสาวออกไปตั้งหลักใช้พื้นที่ตรงโถงบันไดเป็นที่ทำงานและเรียนออนไลน์  นิดจึงครองห้องนอน สามารถทำงานได้โดยที่ไม่มีใครรบกวน จะประชุมด้วยการวิดีโอคอลก็จัดให้มุมห้องหนึ่งไม่รกมากเป็นอันใช้ได้ แต่บางทีแม่มาเรียกกินข้าวเสียงดังตอนประชุมอยู่ ก็เลยต้องเอาป้าย ‘do not disturb’ ไปแขวนไว้หน้าห้องเหมือนโรงแรม เพื่อนร่วมงานหลายคนมีปัญหาอื่นๆ มากมาย เช่น ต้องผลัดกันดูแลลูกเล็ก บางทีลูกเล่นเสียงดัง ไม่มีที่ทางที่จะนั่งทำงานได้โดยไม่รบกวนคนในบ้าน หรือว่าบางคนอยู่คนเดียวในคอนโดฯ เล็กๆ นั่งจ้องจอไปเรื่อยๆ ไม่เจอใครจนแทบจะซึมเศร้าไปแล้วก็มี แถมยังกลัวที่จะออกไปนอกห้อง เพราะพื้นที่ส่วนกลางของคอนโดฯ กลายเป็นพื้นที่อันตรายที่ไม่รู้ว่ามีใครใช้บ้าง บางคนอยู่คอนโดฯ เล็กๆ กับแฟน ผ่านไปสองอาทิตย์ก็แทบจะเลิกกันไปก็มี

แต่การอยู่บ้านนานๆ ก็อึดอัดเหมือนกัน โดยเฉพาะต้องอยู่พร้อมหน้ากันทุกคนในบ้าน ที่มีทั้งอาม่า พ่อแม่ อาอี๊ และน้องสาว เมื่อต้องใช้พื้นที่ส่วนกลางร่วมกันหลายวันเข้า ก็ชักจะเริ่มกระทบกระทั่งกัน ถึงแม้ว่านิดและน้องสาวจะพยายามอยู่ห่างผู้ใหญ่ในบ้านมากที่สุด เพราะกลัวจะเป็นพาหะนำเชื้อไวรัสแบบมองไม่เห็นมาติด แทบจะแยกชั้นกันอยู่ กินข้าวก็ไม่พร้อมกัน ก็ยังไม่วายที่จะหงุดหงิดกันด้วยเรื่องต่างๆ ในการดำรงชีวิตประจำวัน ยังไม่นับเรื่องที่ทะเลาะกันบ้านแทบแตกเพราะอาม่าไม่เข้าใจ และไม่ยอมเชื่อในเรื่องการล้างมือ ใส่หน้ากาก และยังดื้อจะออกไปซื้อของที่ตลาดหน้าปากซอยทุกวัน

นิดเริ่มคิดถึงการไปใช้ชีวิตหลังเลิกงานหรือเสาร์อาทิตย์ที่ร้านอาหาร ร้านกาแฟ เดินห้าง ออกกำลังกายหรือดูคอนเสิร์ต คิดต่อไปว่าถ้าต้องอยู่ร่วมบ้านกัน 24 ชั่วโมงแบบนี้ต่อไปอีกหลายเดือนจะเป็นอย่างไร เพราะเห็นแล้วว่าบ้านที่อยู่นี้ไม่ได้เหมาะกับการใช้ชีวิตตลอดเวลาจริงๆ แม้จะรู้ดีว่าตัวเองโชคดีกว่าคนอีกมากมายนัก ที่มีบ้านให้อยู่พอจะมีที่ทางไม่แออัดจนเกินไปนัก สามารถลดความเสี่ยงของการติดเชื้อจากการทำงานที่บ้านได้ แต่ก็ภาวนาให้การระบาดหายไปในเร็ววัน ก่อนที่จะทะเลาะกับคนในครอบครัวไปมากกว่านี้

สถานการณ์ที่นิดเผชิญอยู่นั้น น่าจะเป็นสถานการณ์ที่เราเกือบทุกคนที่อาศัยอยู่ในเมืองเผชิญอยู่ด้วยระดับที่แตกต่างกันออกไป ในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไวรัสที่ดูเหมือนจะมาเรียกร้องพื้นที่ให้กับร่างกายของมนุษย์แต่ละคนให้เป็นเอกเทศ แยกห่างกันออกไป ระยะห่างที่เกิดจากความจำเป็นทางด้านชีววิทยาของร่างกายมนุษย์เช่นนี้ ได้ก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงไปถึงแกนหลักของแนวความคิดเรื่องพื้นที่การอยู่ร่วมกันในเมืองใหญ่

การแบ่งปันทรัพยากรหลายๆ อย่างในเมือง อันได้แก่ระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการต่างๆ เป็นที่มาของความหนาแน่นของผู้คนในเมืองใหญ่ ซึ่งตามมาด้วยการเป็นแหล่งธุรกิจ แหล่งงาน ความขวักไขว่จอแจ มีชีวิตชีวา ความเคลื่อนไหว ความหวัง ที่เกิดจากคนมากมายเหล่านี้ ภาพคลื่นมนุษย์ที่เบียดเสียดกันบนทางเท้าหรือถนนในเมืองอันกว้างใหญ่ อย่างนิวยอร์ก โตเกียว หรือแม้แต่ในกรุงเทพฯ เองนั้น แสดงถึงความมีชีวิตของเมืองใหญ่ที่เกิดจากความเข้มข้นของการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ (ที่มาพร้อมร่างกาย) ทั้งสิ้น แม้ว่าบางทีการอยู่ในความหนาแน่นมากๆ ร่างกายจะไม่สะดวกสบายนัก แต่การได้อยู่ท่ามกลางก้อนพลังงานมนุษย์มหึมาในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยโอกาสของชีวิตที่ดีกว่า ยังเป็นแรงดึงดูดให้ผู้คนเข้ามาหาความหนาแน่นนี้อย่างไม่ขาดสาย

การ ‘อยู่’ ในเมืองใหญ่ไม่ได้เป็นการอยู่อาศัยแต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการอยู่เพื่อโอกาสใน ‘การทำงาน’ เป็นหลัก จึงทำให้ชีวิตที่ลืมตาตื่นส่วนใหญ่ของคนในเมืองใหญ่ไม่ได้อยู่ในที่พักอาศัย แต่เป็นการอยู่ในพื้นที่การทำงาน (หรือเตรียมพร้อมสำหรับการทำงาน) ไม่ว่าจะเป็นการทำงานในสำนักงาน โรงงาน ร้านค้า ร้านอาหาร หรือพื้นที่สาธารณะอื่นๆ รวมไปถึงโรงเรียน การพักผ่อนก็เป็นการพักผ่อนร่วมกันกับคนหมู่มาก ไม่ว่าจะเป็นการไปใช้เวลาในศูนย์การค้า สวนสนุก โรงภาพยนตร์ โรงยิม ฟิตเนส สนามกีฬา หอประชุม สวนสาธารณะ การอยู่กับคนหมู่มาก ทำให้ชีวิตในเมืองคึกคักไม่เงียบเหงา

 

 

สำหรับคนส่วนมาก เวลาอีกส่วนก็หมดไปกับการอยู่ในระบบการขนส่งที่ก็เป็นพื้นที่สาธารณะใช้ร่วมกันอีกเช่นกัน ความหนาแน่นของร่างกายมนุษย์ในพื้นที่ขนส่งสาธารณะในช่วงเวลาเร่งด่วนของเมืองบางเมืองนั้น อยู่ในระดับที่เราไม่รู้ว่าแขนขาตัวเองอยู่ที่ไหน ยิ่งความหนาแน่นของมนุษย์ต่อพื้นที่สูงเท่าไหร่ ยิ่งดูเหมือนว่ากิจกรรมนั้นๆ จะมีประสิทธิภาพ หรือเป็นที่ต้องการมากขึ้นเท่านั้น การใช้ชีวิตร่วมกันแบบใกล้ชิดกับคนแปลกหน้าในช่วงเวลาสั้นๆ เป็นเรื่องปกติของชีวิตในเมือง

ที่พักอาศัยในเมืองใหญ่และชานเมืองรอบเมืองใหญ่ต่างกับที่อยู่อาศัยในชนบทมาก เพราะสามารถใช้พื้นที่หรือการบริการนอกบ้านในการดำรงชีวิตได้อย่างไม่ยากนัก หลายพื้นที่ถูกลดทอนหรือหายจากบ้านไป เช่น ไม่ต้องมีพื้นที่ผลิตหรือถนอมอาหาร เพราะสามารถซื้อหาได้จากตลาดและหรือซูเปอร์มาร์เก็ต ไม่ต้องมีครัวที่ทำอาหารจริงจังได้ เพราะมีร้านอาหารมาแทนที่ ห้องนั่งเล่นรับแขก มีร้านกาแฟ บาร์ มาแทนที่ กิจกรรมบางอย่างอย่างเช่น การซักผ้ารีดผ้า การออกกำลังกาย การเลี้ยงเด็ก ก็มีบริการต่างๆ มารองรับเช่นกัน ที่พักอาศัยในเมืองใหญ่จึงเป็นบ้านที่ออกแบบมาให้อยู่ในช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากเลิกงานประจำวัน หากพื้นที่ในบ้านไม่รองรับต่อกิจกรรมใดๆ ก็มักมีพื้นที่นอกบ้านให้ใช้เสมอ ขนาดของห้องชุดในตึกสูงในท้องตลาดเล็กลงไปเรื่อยๆ จนไม่แน่ใจว่าจะอยู่กันได้อย่างไร แต่เมื่อเห็นร้านกาแฟในย่านคอนโดฯ ขนาดใหญ่แต่ห้องชุดแต่ละห้องมีขนาดเล็กๆ มีคนนั่งกันเต็มในช่วงกลางวันของวันหยุด ก็เข้าใจได้ว่าพื้นที่ในห้องคอนโดฯ เล็กๆ อาจจะไม่เอื้อให้ทำกิจกรรมอื่นๆ ได้นอกจากการนอนในตอนกลางคืนเท่านั้นจริงๆ

เมื่อการเว้นพื้นที่ว่างให้มีระยะห่างรอบตัวมนุษย์ เป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการชะลอการแพร่ระบาดของไวรัส เมืองใหญ่ที่มีความหนาแน่นของร่างกายมนุษย์สูงๆ ในหนึ่งพื้นที่สาธารณะ ต้องใช้อุปกรณ์ต่างๆ ในสถาปัตยกรรมร่วมและยานพาหนะร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น ปุ่มลิฟต์ มือจับประตู ราวบันได โต๊ะ เก้าอี้ ช้อนส้อม ตะกร้าในซูเปอร์มาร์เก็ต ราวจับในรถเมล์ รถแท็กซี่ มอเตอร์ไชค์รับจ้าง ก็กลายเป็นพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัยในการดำรงชีวิตอีกต่อไป แม้กระทั่งธนบัตรและเหรียญเงินที่มีเป็นแรงจูงใจหลักที่ทำให้คนเข้ามาในเมืองใหญ่ก็กลายเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่จะสัมผัส การอยู่ในทะเลคนแปลกหน้าในระยะประชิดอาจจะกลายเป็นความเสี่ยงถึงชีวิต

มนุษย์เมืองจึงถูกขอร้องให้กักตัวอยู่ในบ้านให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในที่พักอาศัยที่ออกแบบไว้เพื่อรองรับการอยู่แค่เพียงส่วนเดียวของชีวิต สำหรับคนจำนวนมากที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจไม่สูงนัก การถูกกักตัวให้อยู่บ้านที่มีขนาดเล็ก แออัดนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ นอกจากจะทำให้ขาดรายได้ในการดำรงชีวิตแล้ว การอยู่ใกล้ชิดกันในบ้านที่ปกติเอาไว้นอนเรียงกันเท่านั้น อาจจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการระบาดของไวรัสเสียด้วยซ้ำ

ส่วนชนชั้นกลางที่พอจะทำงานจากที่บ้านได้ส่วนมากเริ่มค้นพบว่า บ้านของตนอาจจะไม่ได้เหมาะกับการ ‘อยู่อาศัย’ เสียทีเดียว สำหรับบางคนการใช้ชีวิต 24 ชั่วโมงในพื้นที่ขนาดเล็กมากอย่างห้องชุดไม่ถึง 30 ตารางเมตร เป็นเวลาหลายๆ วัน ไม่ได้ไปไหนและต้องทำงานไปด้วยอาจจะกลายเป็นความเครียดที่ไม่เคยมีมาก่อน หรือถ้าต้องอยู่ร่วมกับคนอื่นในพื้นที่เล็กๆ เช่นนี้ ก็อาจจะเกิดการทะเลาะวิวาทได้โดยง่าย บางกรณีพื้นที่ไม่เล็ก แต่ไม่ได้ออกแบบมาให้เป็นสัดส่วนเพื่อรองรับการทำงานจากบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากในบ้านมีเด็กเล็กที่ต้องการการดูแล ก็ทำให้การทำงานยากขึ้นไปอีก ลามไปถึงความขัดข้องที่เกิดขึ้นจากการใช้พื้นที่ร่วมกันแบบที่ไม่เคยใช้มาก่อนกับสมาชิกในบ้าน ในครอบครัวที่มีผู้ต้องกักตัวเป็นกลุ่มเฝ้าระวังหรือมีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อ เช่น ผู้สูงอายุ การกั้นพื้นที่ให้เป็นสัดส่วนไม่ปะปนในบ้านเดียวกันนั้นทำได้ค่อนข้างยาก การแยกออกไปอยู่ในบ้านอีกหลังเพื่อป้องกันการติดต่อ โดยเฉพาะในกรณีผู้สูงอายุที่ต้องการการดูแลใกล้ชิดเป็นทุนเดิมนั้น อาจจะเป็นการเพิ่มปัญหาไปด้วยซ้ำ

หากการระบาดของไวรัสนี้เป็นเพียงการเริ่มต้นของการระบาดของโรคร้ายอื่นๆ ที่ตามมา (ตามการคาดการณ์หลายสำนัก) การอยู่กันด้วยการเว้นพื้นที่ว่างระหว่างร่างกายมนุษย์นั้นอาจจะกลายเป็นสภาวะที่ถาวรของการอยู่อาศัยไปในที่สุด การปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมทางกายภาพโดยเฉพาะในเขตเมือง และการเดินทางขนส่งของมนุษย์ ให้เหมาะสมกับการใช้ชีวิตแบบใหม่ที่ร่างกายต้องห่างกันนี้ จะเป็นความท้าทายอันสูงสุดของการออกแบบสภาพแวดล้อมทางกายภาพ ที่ทำงานร่วมกันกับการจัดการใช้พื้นที่ด้วยระบบดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ และคำนึงถึงสิทธิความเป็นส่วนตัวของประชาชนเป็นสำคัญ

ในอนาคตอันใกล้ การทำงานในสำนักงานอาจจะเป็นการมาเจอกันเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่าที่จำเป็น พื้นที่ในการทำงานจะเปลี่ยนไป การวางผังของสำนักงานน่าจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง การนั่งทำงานในพื้นที่เดียวกันเป็นสิบๆ คนอย่างใกล้ชิดกันแบบ open plan นั้น อาจจะต้องยกเลิกไป การทำงานที่บ้านอาจจะมีมากขึ้น เช่นเดียวกันกับโรงเรียน มหาวิทยาลัย ที่การติดต่อสื่อสารในรูปแบบดิจิทัลจะมีบทบาทมากขึ้น ทำให้การเจอหน้ากันแบบตัวเป็นๆ จะมีความหมายมากขึ้น กิจกรรมอื่นๆ เช่น ร้านอาหาร ร้านค้า สนามกีฬา อาจจะต้องมีการจัดการพื้นที่ให้มีความหนาแน่นต่ำ มีขนาดเล็กลง มีการควบคุมความหนาแน่นของการใช้พื้นที่อย่างเข้มงวด แต่ยังต้องคงไว้ถึงความเข้มข้นในบรรยากาศ ไม่เหงาหงอย การออกแบบจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ชิ้นส่วนต่างๆ ของสถาปัตยกรรมในพื้นที่สาธารณะต้องมีการปรับเปลี่ยนขนานใหญ่ เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสจับต้องร่วมกันให้มากที่สุด

คนส่วนใหญ่อาจจะต้องใช้เวลาอยู่ที่บ้านมากขึ้น เนื่องจากสภาวะของการกักตัวอาจจะเกิดขึ้นบ่อยๆ แบบลักปิดลักเปิด ที่อยู่อาศัยสำหรับคนเมืองจะกลับมาเป็นพื้นที่ที่รองรับกิจกรรมที่หลากหลายมากขึ้น ปรับเปลี่ยนได้ในช่วงเวลาต่างๆ ในแต่ละวันและจังหวะเวลา หากต้องมีการกักตัวแยกพื้นที่ บ้านน่าจะต้องมีขนาดใหญ่ขึ้น แต่การอยู่กลางเมืองในพื้นที่ที่ที่ดินราคาแพงอาจจะไม่เป็นเรื่องจำเป็นอีกต่อไป หากไม่ต้องเดินทางเข้าเมืองทุกวันเพื่อทำงานหรือเรียนหนังสือ การเดินทางในระยะใกล้ๆ แบบที่ไม่ต้องใช้การขนส่งสาธารณะ เช่น การเดิน การขี่จักรยาน เพื่อทำกิจกรรมเบื้องต้นในชีวิต จะมีบทบาทมากขึ้น

นิดอาจจะคิดไปไม่ถึงว่าจะไม่มีชีวิตหลังการระบาดที่กลับไปเหมือนก่อนการระบาดอีกต่อไปแล้ว แต่การระบาดอาจจะกลายเป็นเรื่องปกติที่จะอยู่ในชีวิตเราไปอีกสักพัก แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องอยู่กันอย่างห่างๆ อย่างโดดเดี่ยว เหตุการณ์การร้องเพลงเล่นดนตรีร่วมกันบนระเบียงอพาร์ตเม้นต์ของผู้คนที่ถูกกักตัวอยู่ในบ้านอย่างพอเห็นกันในระยะไกล ไม่ว่าจะเป็นที่อิตาลี หรือสเปน ทำให้เราเห็นว่า การพบเจอกันแบบตัวเป็นๆ ในที่สาธารณะกับคนหมู่มากยังเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับมนุษย์

แม้ว่าเราอาจจะต้องเพิ่มที่เว้นว่างระหว่างร่างกายของเรากับผู้คนรอบข้าง ให้ห่างจากกันและกันไปเป็นครั้งเป็นคราว เชื่อว่ามนุษย์จะปรับตัวให้เข้ากับการใช้ชีวิตในรูปแบบใหม่ด้วยวิธีการต่างๆ ให้ความห่างนั้นเป็นเพียงแค่การห่างกายในที่สุด

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0