ความคืบหน้ากรณี อาม่าฮวย ศรีวิรัตน์ ได้ยื่นฟ้องคดีอาญา นางมาวดี ศรีวิรัตน์ ลูกสาว และพนักงานของธนาคารกสิกรไทย จำนวน 4 คน ในข้อหาลักทรัพย์ ร่วมกันเปลี่ยนเงื่อนไขการเบิกถอนเงินเดิมในบัญชีออมทรัพย์ จากลงลายมือชื่อเป็นพิมพ์ลายนิ้วมือ และปลอมหนังสือมอบอำนาจ เบิกถอนเงิน และสั่งจ่ายเช็คแทนในบัญชีกระแสรายวัน ถอนเงินออกจากบัญชี รวมกว่า 350 ล้านบาท ขณะนอนรักษาตัวโรคเส้นเลือดหัวใจตีบอยู่ที่โรงพยาบาล โดยมีพนักงานแบงก์รวม 4 ราย คอยให้การสนับสนุนแอบเปลี่ยนเงื่อนไขการเบิก-ถอน ซึ่งอาม่าเปิดบัญชีธนาคารดังกล่าวถึง 2 บัญชี แบ่งเป็นสาขาถนนศรีนครินทร์ กม. 9 และสาขาสุขุมวิท 101 โดยเก็บเงินไว้ในตู้เซฟ ก่อนมาป่วยเป็นโรคหัวใจตีบ และกล้ามเนื้ออ่อนแรงโดยแพทย์ต้องทำการเจาะคอ
จากนั้นอาม่าเขียนจดหมายมาหาลูกชายอีกคน ให้มารับกลับบ้าน แต่เมื่ออาม่าเปิดตู้เซพเพื่อดูสมุดบัญชีกลับไม่พบ จึงให้ลูกชายติดต่อไปหาเจ้าหน้าที่ธนาคารคือนางทิพย์ภาพร แดงสวัสดิ์ อายุ 57 ปี ซึ่งเป็นคนสนิทของนางมาวดี และได้รับคำตอบว่าไม่มีเงินในบัญชีเหลือ โดยบัญชีแรกเป็นบัญชีออมทรัพย์สาขาถนนศรีนครินทร์ เปิดเมื่อปี 3 ธ.ค. 47 ซึ่งนางมาวดี ให้เจ้าหน้าที่แบงก์เปลี่ยนเงื่อนไขในการเซ็นเบิกเงินมาเป็นพิมพ์ลายนิ้วมือ จนถูกลักทรัพย์ไปประมาณ 111 ล้านบาท ซึ่งเงินเริ่มหายไปตั้งแต่วันที่ 23 ม.ค. 57 ส่วนอีกบัญชีเป็นกระแสรายวันสาขาสุขุมวิท 101นั้น นางมาวดี เปลี่ยนเงื่อนไขในการเบิกเงินสั่งจ่ายแทนอาม่ารวมทรัพย์สินที่สูญหายคือ 97 ล้านบาท และยังมีเงินกองทุนกว่า 50 ล้านบาท หายไปด้วย
ล่าสุด วันที่ 19 พ.ย.62 อาม่าฮวย ศรีวิรัตน์ พร้อมด้วย น.ส.มินตรา ศรีวิรัตน์ หลานสาว ผู้รับมอบอำนาจ พร้อมนายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ เดินทางไปที่ศาลแพ่งพระโขนง เพื่อยื่นฟ้องธนาคารแห่งหนึ่งและพนักงานของธนาคาร เป็นจำเลยที่ 1-5 และมีจำเลยที่ 6 เป็นบุตรคนที่ 2 ของนางฮวยเองคือ นางมาวดี ศรีวิรัตน์
นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ บอกว่า เหตุการณ์นี้เริ่มต้นขึ้นหลังนางฮวยล้มป่วย ซึ่งตรวจสอบแล้วพบว่า นางมาวดี ร่วมกับพนักงานธนาคารกสิกรไทย เปลี่ยนแปลง ปลอมแปลง ลายมือชื่อนางฮวย เพื่อมอบอำนาจ ให้นางมาวดี มีสิทธิ์เบิกถอน เงินฝากกระแสรายวันและกองทุนบัญชีของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด พบมีการถอนเงินจากบัญชีเงินและสั่งจ่ายเช็ค รวมถึงถอนเงินจากหน่วยลงทุน เข้าไปที่บัญชีของตัวเอง รวมเป็นเงินกว่า 350 ล้านบาท โดยวันนี้นางฮวย ยื่นฟ้องจำเลยในความผิดละเมิด, ฝากทรัพย์, เรียกทรัพย์คืน, ตัวการตัวแทน เพื่อให้กลุ่มจำเลยชดใช้เงินคืนพร้อมดอกเบี้ย ซึ่งศาลประทับรับฟ้องและนัดสืบพยานในวันที่ 19 ม.ค. 63
ทางด้านธนาคารกสิกรไทย ออกมาชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้นว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดเมื่อปี 57 พนักงานดำเนินการไปตามความประสงค์ลูกค้าผ่านทางญาติสนิท โดยไม่มีเจตนาทุจริต ทั้งนี้ในชั้นนี้มีการฟ้องร้องเป็นคดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว ซึ่งจะต้องมีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงทั้งรายการที่เกิดในฝั่งธนาคาร ข้อมูลความสัมพันธ์ในทางครอบครัว และข้อมูลแวดล้อมอื่น ๆ
โดยธนาคารพร้อมให้ข้อเท็จจริงและนำเสนอพยานหลักฐานต่อศาล และยินดีปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของศาลยุติธรรม
https://youtu.be/N_L5ppHlvPg