โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สุขภาพ

เบิร์กลีย์พบ โรควิตกกังวลใน นศ. เพิ่มขึ้น 2 เท่าในสิบปี ยกระดับเป็น ‘โรคระบาด’ แบบใหม่ ความจนเป็นปัจจัยสำคัญ

The Momentum

อัพเดต 23 เม.ย. 2562 เวลา 11.32 น. • เผยแพร่ 23 เม.ย. 2562 เวลา 08.18 น. • THE MOMENTUM TEAM

ศาสตราจารย์ริชาร์ด เชฟเฟลอร์ คณะนโยบายสาธารณะและสาธารณสุขโกลด์แมน มหาวิทยาลัยเบิร์กลีย์เริ่มต้นคิดถึงเรื่องโรควิตกกังวลในนักศึกษามาตั้งแต่สิบปีก่อน ตอนที่สอนนักศึกษา 100 คนอยู่แล้วสังเกตเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของพวกเขา

“นักศึกษาเกินครึ่งหนึ่งไม่มองผม ดูโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์แทน พอผมบอกให้ปิดหรือเอาไปไว้ที่อื่น มีนักศึกษา 4-5 คนที่ทำไม่ได้” จากนั้นเขาก็บอกตัวเองว่ามีบางอย่างผิดปกติ แล้วก็เริ่มติดตามข้อมูลตั้งแต่นั้นมา

ทีมวิจัยวิเคราะห์ข้อมูลแบบสำรวจการประเมินสุขภาพประจำปีของนักศึกษาทั่วประเทศของ National College Health Assessment และ National Longitudinal Survey of Youth จำนวน 9 ปี นอกจากนี้ยังสัมภาษณ์นักศึกษามหาวิทยาลัยเบิร์กลีย์อีก 30 คนที่เคยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรควิตกกังวล

ผลการวิจัยพบว่า สัดส่วนของนักศึกษาที่ได้รับการวินิจฉัยหรือรับการรักษาด้วยโรควิตกกังวลที่มีอายุ 18-26 ปีเพิ่มขึ้นจาก 10% ในปี 2008 เป็น 20% ในปี 2018 นักศึกษาอเมริกัน 1 ใน 5 คนเป็นโรควิตกกังวล

แม้เขาจะไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดของความวิตกกังวลที่เพิ่มขึ้น แต่เชฟเฟลอร์พบความสัมพันธ์ที่เป็นเหตุเป็นผลระหว่างโรควิตกกังวลและความไม่มั่นคงทางการเงิน การใช้เวลาว่างไปกับอุปกรณ์ดิจิทัล และระดับการศึกษาของแม่ นอกจากนี้ อัตราการเป็นโรควิตกกังวลยังเพิ่มสูงในกลุ่มนักศึกษาข้ามเพศ ละติน และผิวดำ

งานวิจัยพบว่า คนหนุ่มสาวที่มาจากครอบครัวที่มีปัญหาทางการเงิน เป็นโรควิตกกังวลมากกว่านักศึกษาที่ครอบครัวไม่มีปัญหานี้ 2.7 เท่า โดยจากข้อมูลที่เก็บช่วงปี 2008-2014 พบว่าคนหนุ่มสาวที่มีภาวะวิตกกังวลมีรายได้น้อยกว่าคนที่ไม่เป็น 11%

นักศึกษาที่ใช้เวลาว่างไปกับอุปกรณ์ดิจิทัลมากกว่า 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์มีอัตราการเป็นโรควิตกกังวลมากกว่าคนที่ใช้เวลาน้อยกว่า 5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

ส่วนนักศึกษาที่แม่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป มีโอกาสเป็นโรควิตกกังวลมากกว่านักศึกษาที่แม่เรียนจบต่ำกว่าวิทยาลัย ทั้งนี้ ข้อมูลที่นำมาใช้วิเคราะห์เป็นผลจากการสำรวจที่ไม่ได้ถามระดับการศึกษาของพ่อ

เชฟเฟลอร์กล่าวว่า “ขอเรียกว่าเป็น ‘การระบาดแบบใหม่’ จากข้อมูลที่มีอยู่ เราควรจะเพิ่มการรับรู้ในระดับชาติว่านี่เป็นการระบาดที่รุนแรงมาก”

นักศึกษาที่มีอาการวิตกกังวลจะดื่มแอลกอฮอล์หรือใช้ยาเสพติดมากกว่า 3.2 เท่า นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบทางลบอื่นๆ จากความวิตกกังวล เช่น การเพิ่มโอกาสของการถูกล่วงละเมิดทางเพศ หรือพยายามฆ่าตัวตาย

เขาไม่มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายจากข้อค้นพบเบื้องต้น ขั้นแรกที่ต้องจัดการกับความวิตกกังวลที่เพิ่มมากขึ้นก็คือ สร้างความตระหนักในหมู่เจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยให้มากขึ้น

“ผมอยากให้คณะและมหาวิทยาลัยชั้นนำอย่างเบิร์กลีย์ และมหาวิทยาลัยทั่วประเทศรู้ว่ามีโรคระบาดนี้อยู่ และต้องเข้าใจมัน นักศึกษาต้องการความช่วยเหลือ”

เขาหวังว่าคณะจะให้ความสำคัญกับความเครียดในหมู่นักศึกษา และทำงานกับนักศึกษา ส่วนพ่อแม่ต้องเข้าใจว่าความวิตกกังวลนี้ไม่ใช่เรื่องปกติของการเปลี่ยนแปลงจากบ้านไปมหาวิทยาลัย พวกเขาต้องการการสนับสนุนจากพ่อแม่

 

ที่มา:

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0