โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สุขภาพ

เชื่อมั๊ย? ไม่อยากสมองเสื่อมต้องเรียนรู้ภาษาที่สอง!

Health Addict

อัพเดต 21 มิ.ย. 2562 เวลา 05.53 น. • เผยแพร่ 17 มิ.ย. 2562 เวลา 09.50 น. • Health Addict
สำหรับใครที่ไม่ชอบเรียนรู้ภาษาใหม่ๆ อาจจะต้องเปลี่ยนใจกันแล้วล่ะ เพราะมีงานวิจัยยืนว่ามันดีต่อสมองจริงๆ นะ
สำหรับใครที่ไม่ชอบเรียนรู้ภาษาใหม่ๆ อาจจะต้องเปลี่ยนใจกันแล้วล่ะ เพราะมีงานวิจัยยืนว่ามันดีต่อสมองจริงๆ นะ

  สำหรับเราการได้รู้จักภาษาใหม่ๆ มันไม่ใช่แค่การเรียนรู้เพื่อให้ดูชิคๆ คูลๆ เพียงอย่างเดียว แต่เพราะมีงานวิจัยหลายชิ้นเลยที่บอกว่าการเรียนรู้นี้ช่วยพัฒนาทักษะทางความคิดได้จริงๆ เพียงแค่เริ่มท่องศัพท์วันละนิด แค่นั้นสมองก็ได้ออกกำลังกายแล้ว และก่อนที่เราจะพาไปรู้จักกับคนๆ หนึ่ง ซึ่งเป็นบุคคลที่มีความสามารถพูดได้ถึง 8 ภาษานั้น เราจะพามาดูข้อดีหลักๆ จากงานวิจัยที่บอกว่าการเรียนรู้ภาษานั้นดีต่อระบบร่างกายและสมองของคุณยังไงได้บ้าง
มีสมาธิดีต่อการจดจ่อสิ่งต่างๆ มากกว่าคนอื่น
คนที่พูดได้มากกว่าหนึ่งภาษานั้น เว็บไซต์ leadwithlanguages.org บอกว่า ระบบความจำในสมองของพวกเขาจะถูกพัฒนาทำให้ทักษะการคิดวิเคราะห์แก้ไข้ปัญหานั้นดีขึ้นตามไปด้วย แถมการเรียนนี้ยังช่วยเพิ่มสมาธิ ความสามารถในการทำงานแบบมัลติทาสก์กิ้ง รวมไปถึงทักษะการฟังก็ดีขึ้นเช่นกัน เว็บไซต์ American Council on The Teaching of Foreign Languages ให้ข้อมูลไว้ว่า พบงานวิจัยศึกษาพฤติกรรมและศักยภาพของคนหนุ่มสาวที่สามารถพูดได้สองภาษาว่าบุคคลกลุ่มนี้มีผลทดสอบศักยภาพด้านการให้ความสนใจ (Attention Test) มากกว่ากลุ่มคนที่พูดได้ภาษาเดียว นั่นเป็นเพราะว่าคนพูดได้มากกว่าหนึ่งภาษานั้นมีสมาธิในการจดจ่อที่ดีกว่านั่นเอง 
ครีเอทไอเดียใหม่ๆ ได้หลากหลาย นักวิจัยหลายคนพยายามเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างคนที่พูดได้แค่ภาษาเดียวกับคนที่พูดได้มากกว่าหนึ่งภาษา ว่าตกลงใครที่จะสามารถครีเอทไอเดียได้ดีกว่ากัน เว็บไซต์ huffpost.com ได้พูดถึงการทำวิจัยของมหาวิทยาลัย Mashhad ว่าเขาใช้ระบบการทดสอบด้านความคิดสร้างสรรค์ที่มีชื่อว่า Torrance Tests of Creative Thinking (TTCT) โดยทำการวิจัยกับนักเรียนชาวอิหร่านสองกลุ่ม กลุ่มแรกคือคนที่พูดและเรียนภาษาอังกฤษมาอย่างน้อยหกปี และกลุ่มที่สองคือนักเรียนที่พูดภาษาอื่นไม่ได้เลยนอกจากภาษาอิหร่านเท่านั้น ซึ่งพอนำผลทดสอบมาเทียบกันก็พบว่าคนที่พูดได้สองภาษานั้นได้คะแนนมากกว่าคนที่พูดได้เพียงภาษาเดียว 
มายด์เซ็ทและสมอง “Never Get Old”
อีกหนึ่งข้อดีคือเมื่อเราอายุมากขึ้น การเป็นคนไบลิงกัวนี่ล่ะจะช่วยทำให้จิตใจและพัฒนาการทางสมองไม่แก่ลงไปตามอายุ หรือถ้าจะให้พูดแบบเป็นทางการหน่อยก็คือ “ภาวะชราที่ทำให้เกิดความเสื่อมต่อการนึกคิดและสมอง” จะถูกชะลอลงจากการเรียนรู้ทางภาษานั่นเอง สมองก็จะเสื่อมยากขึ้น ซึ่งงานวิจัยของ National institution of health ได้มีการพูดถึงว่า การมีทักษะทางด้านภาษาที่มากกว่าหนึ่งภาษานั้นสามารถช่วยป้องกันภาวะสมองเสื่อม การนึกคิด รวมถึงความรู้ความเข้าใจต่างๆ ให้ยังคงอยู่ได้นาน แถมยังช่วยลดภาวะการเกิดพยาธิในสมองที่พัฒนามาจากภาวะความจำเสื่อม หรือระหว่างฟื้นตัวจากการรักษาโรคหลอดเลือดสมองอีกด้วย 
และนี่อาจจะเป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันที่จะทำให้คุณอยากเรียนรู้ภาษาอื่นๆ มากขึ้น 

พอเราเปิดคลิปมาก็ถึงกับสตั๊นท์ เพราะเธอพูดได้มากถึง 8 ภาษาเลย ซึ่งได้แก่ ภาษาเยอรมัน สเปน อังกฤษ ฝรั่งเศส โปรตุเกส กาน่า จีน อิตาลี นี่เลยต้องฟังต่อว่าเธอคนนี้มีเคล็ดลับอะไร ถึงเก่งขนาดนี้…
เรารู้แค่ว่าเธอชื่ออีฟ เป็นยูทูปเบอร์และบล๊อคเกอร์ชื่อดัง อายุ 30 ปี เธอมาใช้ชีวิตและเติบโตที่เยอรมันหลังจากอายุได้ 1 ขวบเท่านั้น  อีฟเล่าว่าภาษาแรกที่ใช้พูดคือ ภาษาเยอรมัน ส่วนภาษาที่พ่อแม่ใช้หลักๆ คือ อังกฤษและภาษาท้องถิ่นของกาน่าซึ่งครอบครัวเธออพยพมาจากที่นั่น
"โดยปกติฉันจะพูดภาษาเยอรมันกับที่บ้าน รวมไปถึงภาษาอังกฤษด้วย เพราะพ่อแม่ฉันใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางตอนอยู่กาน่า พอฉันมาโตที่เยอรมัน ฉันก็เลยพูดเยอรมันได้ด้วย เลยกลายเป็นว่าที่บ้านฉันพูดกันทั้งหมดสามภาษาปนกันไปเลย" การได้ใช้ภาษาที่หลากหลายภายในบ้านอยู่เป็นประจำช่วยให้เธอซึมซับคำศัพท์ใหม่ๆ ได้ง่ายขึ้น "ฉันคุ้นชินกับการได้ยินภาษาอังกฤษและใช้มันพูดควบกับภาษาอื่นเมื่ออยู่บ้านเป็นปกติ เมื่อเลื่อนชั้นขึ้นเกรด 5 ที่โรงเรียนก็เริ่มสอนภาษาอังกฤษ ซึ่งมันก็ไม่ยากมากเท่าไหร่เมื่อต้องเรียนในห้อง เพราะฉันมีคำศัพท์ในหัวเยอะอยู่แล้ว" 
ที่สำคัญ! การใฝ่รู้และสนใจในภาษานั้นๆ อย่างจริงจังถือว่าสำคัญ "พออายุ 13 จำได้ว่าตอนนั้นมีคาบวิชาภาษาฝรั่งเศส ความจริงคือพ่อแม่ฉันเขาก็พอพูดได้ด้วย มันเลยทำให้อยากเรียนมากขึ้น พอช่วงป.ตรี ฉันเลยเลือกที่จะเรียนสายภาษาฝรั่งเศสนี้เป็นอันดับแรก ต่อด้วยภาษาจีน" 
"พอหลังจากเรียนฝรั่งเศสตอนอายุ 13 ช่วงไฮสคูลที่ฉันอายุ 17 ปี ฉันก็เลือกเรียนภาษาสเปนอีกสองปี แล้วก็ดรอปวิชาฝรั่งเศสไป  หลังจากนั้นก็บินไปเรียนซัมเมอร์ที่ฝรั่งเศสเลย"   อีกอย่างการเลือกไปเรียนรู้กับครอบครัวของคนที่เป็นเจ้าของภาษานั้นคือคีย์เลยล่ะ "ตอนไปซัมเมอร์ ฉันเลือกไปอยู่กับโฮสด้วย เพราะมันช่วยทำให้เข้าใจวัฒนธรรมและภาษาจากเจ้าของภาษามากขึ้น"  ส่วนด้านภาษาอื่นๆ เธอก็เลือกที่จะใช้วิธีฟังหรือแปลเพลง ดูหนัง เทียบความคล้ายกันของภาษาเพื่อเรียนแกรมม่าเพื่อต่อยอดความแม่นยำในภาษานั้นๆ ให้มากขึ้น
 

 
 นี่คือเรื่องราวคร่าวๆของเธอ การที่จะพูดได้มากกว่าหนึ่งภาษามันไม่ใช่แค่มีพ่อแม่ช่วยซัพพอร์ตอย่างเดียว เพราะทุกอย่างมันต้องมาจากแพชชั่นจริงๆ เช่น คุณต้องพาตัวเองไปอยู่กับเจ้าของภาษา ลงเรียนคอร์สพิเศษ ดูหนังที่เป็นเวอร์ชั่นของเจ้าของภาษานั้นๆ บ่อยมากขึ้น หรือไม่ที่เรามองว่าน่าจะเวิร์คและไวสุดก็คือ การหาเพื่อนหรือแฟนที่เขาใช้ภาษานั้นๆ อยู่คุยไปเลย เพราะภาษาในการพูดไม่ได้ยากเท่าภาษาเขียนหรือการอ่าน ฉะนั้นถ้าเริ่มจากการฟังและพูดก่อนเรามองว่าดีที่สุด ยกเว้นคุณจะต้องเรียนเฉพาะด้านซึ่งเป้าหมายเพื่อการเรียนนั้นยิ่งใหญ่มากกก อันนั้นเรามองว่าอาจต้องใช้เวย์อื่นแทน แต่ถ้าไม่ซีเรียสก็เอาตามนี้ก่อนเพราะจะได้ไม่เครียดแถมยังสามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ด้วย 
  เอาล่ะ! ไม่ว่ายังไง ก็ขอให้คุณจำไว้ว่าถึงแม้จะเรียนไม่รู้เรื่องหรือพูดยังไม่ได้เลยก็ตาม การเริ่มเรียนภาษาที่สองก็ถือเป็นอาหารเสริมที่ดีต่อสมองของคุณอย่างมากแล้วล่ะ แค่เรียนรู้คำใหม่ๆ ให้สมองได้สัมผัสถือก็ว่าเป็นประโยชน์แล้ว …จริงๆ นะ และถ้าให้ดีขึ้นไปอีก คุณก็ควรเรียนให้รู้จริงไปเลยเพื่อประสิทธิภาพที่ดีต่อสมองแบบยาวนานยังไงล่ะ  
 

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0