โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

อึ้ง! มนุษย์กินคน…เรื่องจริงไม่อิงนิยาย

Horrorism

อัพเดต 10 มี.ค. 2563 เวลา 00.00 น. • เผยแพร่ 10 มี.ค. 2563 เวลา 07.40 น. • Horrorism

 

       หากจะพูดถึงเรื่องของการกินเนื้อมนุษย์ด้วยกันแล้วนั้น หลาย ๆ คนก็คงจะจินตนาการไม่ถูกเลยว่า รสชาติและความรู้สึกในขณะที่เราค่อย ๆ เคี้ยวเนื้อมนุษย์นั้นเป็นอย่างไร แต่ทว่าหากเราย้อนไปในอดีต วัฒนธรรมการกินเนื้อมนุษย์ค่อนข้างที่จะได้รับความนิยม และถึงแม้ในปัจจุบันจะไม่ค่อยได้พบเห็นผู้ที่นิยมบริโภคเนื้อมนุษย์แล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีอยู่เลย จริงไหมคะ ?

       ประเพณีการกินเนื้อมนุษย์นั้น มีประวัติมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะตามกลุ่มชนเผ่าต่าง ๆ ที่มักจะนิยมการบริโภคเนื้อมนุษย์ในวันสำคัญต่าง ๆ หรือเพื่อการสังเวยเทพเจ้าหรือหัวหน้าเผ่า ซึ่งหลายเรื่องราวเกี่ยวกับการกินเนื้อมนุษย์นั้นถูกเผยแพร่จากชาวตะวันตกในยุคล่าอาณานิคมหรือพวกหมอศาสนาเสียเป็นส่วนใหญ่

 

ภาพยนตร์เรื่อง The Green Inferno ที่มาของภาพ : postjung

 

       ชนเผ่าฟิจิ** เป็นหนึ่งชนเผ่าที่โด่งดังในเรื่องของการกินเนื้อมนุษย์ อาศัยอยู่ในสาธารณรัฐฟิจิ ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่เกาะของมหาสมุทรแปซิฟิก ประชากรส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ตามหมู่เกาะต่าง ๆ ชาวฟิจิจะนำศพคนตายแจกจ่ายเพื่อนำไปทำอาหาร ศพจะถูกชำแหละและเศษอวัยวะต่าง ๆ จะถูกทิ้งให้ลอยน้ำไป ในบันทึกของหมอสอนศาสนาท่านหนึ่งบันทึกว่า กษัตริย์ชาวฟิจิจะจับตัวทาสที่หลบหนีไปมาตัดแขนตัดขาและนำไปเป็นอาหาร

       รวมถึงมีการกล่าวว่า “ชาวฟิจิชอบกินเนื้อมนุษย์ เนื่องจากขาดแคลนเนื้อสัตว์ ลูกเรือที่หลงเข้าไปในเกาะฟิจิจะถูกจับและฆ่าเป็นอาหาร รวมทั้งจะขุดศพของญาติพี่น้องที่ตายไปแล้วมาปรุงเป็นอาหาร โดยเฉพาะเนื้อของผู้หญิงจะเป็นอาหารที่ดีเลิศ”

 

ที่มาของภาพ : onenee

 

       ชนเผ่า Abadja**ในประเทศไนจีเรีย หัวหน้าครอบครัวจะล่ามนุษย์มาเป็นอาหาร โดยจะนำเนื้อมนุษย์มาแจกจ่ายให้สมาชิกได้กินกันทุกคน เนื้อที่เหลือจะนำไปตากแห้งเพื่อใช้เป็นอาหารมื้อต่อไป

 

ภาพวาดชนเผ่าแคริบ ที่มาของภาพ : komkid.com  

 

       ชาวแคริบ** จากบันทึกของ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ได้เล่าว่าชาวแคริบเป็นชนเผ่านักรบที่ดุร้ายและมักยกกองเรือเข้าโจมตีชนเผ่าอื่น ๆ เสมอ หลังการโจมตี พวกเขาจะนำเอาเชลยเผ่าอื่นกลับไปยังหมู่บ้านและฆ่ากินเป็นอาหาร ส่วนคนที่ยังไม่ถูกฆ่านั้น จะถูกเลี้ยงเอาไว้เพื่อกินในวันหลัง ไม่ต่างอะไรกับปศุสัตว์ที่ถูกเลี้ยงไว้เป็นอาหาร

       เชลยที่เป็นชายนั้นจะถูกตอน ส่วนเชลยหญิงจะถูกใช้เป็นเครื่องมือสำเร็จความใคร่ ซึ่งหากผู้หญิงเหล่านั้นตั้งครรภ์เด็กที่เกิดมาก็จะถูกนำไปกินเป็นอาหาร และเมื่อหมดประโยชน์หญิงสาวเหล่านั้นก็จะถูกนำมากินเป็นอาหารด้วยเช่นเดียวกัน

                                                                                                   

กษัตริย์และรัฐมนตรี เลโซโท

 

       หมอสอนศาสนาผู้ซึ่งเคยเยือน ชนเผ่าเลโซโท (Lesotho) ได้ประมาณการว่ามีชนเผ่ากินเนื้อคนราว 4,000 คน และในช่วงปี ค.ศ. 1822-1828 จะมีการกินเนื้อมนุษย์เฉลี่ยเดือนละหนึ่งคนต่อชาวเลโซโทหนึ่งคน ทำให้ระบุตัวเลขได้ว่ามีมนุษย์ราว 285,000 คนที่ตกเป็นเหยื่อการถูกกิน และหนึ่งเหตุผลของการกินเนื้อมนุษย์ก็เริ่มมาจากการทำสงครามและการปล้นสะดมเนื่องจากภัยแล้ง ทำให้เกิดความอดอยากอย่างรุนแรงมากจนทำให้ชนเผ่าต้องเอาชีวิตรอดด้วยการหันมากินเนื้อคนกันเอง จากเหตุเดิมที่เริ่มต้นจากความหิวโหยกลายเป็นว่าในที่สุดก็เกิดเป็นนิสัยคนชอบกินเนื้อคน นักล่าจะทำการล่าคนแทนการล่าสัตว์และออกเดินทางหาเหยื่อทุกวันเพื่อนำมากิน

       แต่การกินเนื้อของมนุษย์นั้นไม่ได้แพร่หลายเฉพาะดินแดนที่ไร้อารยธรรมหรือตามชนเผ่าที่ห่างไกลเท่านั้น หากแต่ในดินแดนที่เต็มไปด้วยความเจริญรุ่งเรือง และมีการพัฒนาในหลาย ๆ ด้านก็มีหลักฐานเกี่ยวกับการกินเนื้อมนุษย์ด้วยเช่นกัน

       เช่นในประเทศจีน มีวัฒนธรรมการกินซึ่งค่อนข้างแปลกสำหรับคนทั่วไป หนึ่งในนั้นก็คือการกินเด็กทารก มีคำกล่าวว่า ที่โรงพยาบาล Zhenzhen หมอบางคนจะนำศพทารกมากินเป็นอาหาร เพราะเชื่อว่าทารกแรกเกิดที่ตายจากการทำแท้งเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ จากรายงานการตรวจสอบโรงพยาบาลแห่งนั้นในปี ค.ศ. 1995 พบว่ามีหมอบางคนรับประทานเด็กทารกจริงตามที่มีการกล่าวอ้าง

       หรือแม้แต่ในยุคสงคราม ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง นาซีเยอรมัน ได้ทำกวาดต้อนชาวยิวมาไว้ในค่ายกักกัน ซึ่งเป็นที่รับรู้โดยทั่วกันถึงความโหดร้ายและความเป็นอยู่ที่ยิ่งกว่านรก ชาวยิวจำนวนมากถูกฆ่าตายหมด พ่อครัวในค่ายกักกันได้นำเนื้อจากศพชาวยิวที่ตายมาทำเป็นอาหารแล้วนำไปแจกจ่ายให้กับชาวยิวรับประทานโดยที่ไม่รู้เลยว่าพวกเขากำลังกินเนื้อของมนุษย์

 

 

       จะเห็นได้ว่าการกินเนื้อมนุษย์นั้นเกิดขึ้นจากหลากหลายปัจจัย ทั้งเรื่องของความเชื่อต่าง ๆ ที่นิยมแสดงออกถึงการเคารพบูชาโดยการใช้ชีวิตเซ่นสังเวย ตลอดจนเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งเหนือศัตรู หรือแม้กระทั่งการกินเนื้อมนุษย์เพื่อเอาชีวิตรอด แต่อย่างไรก็ตามจากประเพณีการกินเนื้อมนุษย์ที่แพร่หลายนี้ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า จริง ๆ แล้วการกินเนื้อมนุษย์นั้น อร่อยและดี จริง ๆ หรือไม่

 

เด็กในชนเผ่าฟอร์ ที่มาของภาพ : wikipedia 

 

       เนื้อมนุษย์จัดเป็นเนื้อแดงที่ถือว่ามีแคลอรีต่ำมาก หากเทียบกับเนื้อแดงชนิดอื่น เนื้อมนุษย์จะมีแคลอรีอยู่ที่ 1,300 กิโลแคลอรีต่อเนื้อหนึ่งกิโลกรัม และพฤติกรรมการกินเนื้อมนุษย์นี้เอง ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคชนิดหนึ่ง ซึ่งระบาดไปทั่วในกลุ่มชนเผ่าที่กินเนื้อมนุษย์นั่นก็คือ ชนเผ่าฟอร์**

       โรคระบาดที่เกิดจากการกินเนื้อมนุษย์นั้นมีชื่อว่าโรค คูรู ซึ่งเป็นอาการผิดปกติของเส้นประสาทที่หายาก และไม่สามารถรักษาได้ พบเจอในกลุ่มคนของชนเผ่าฟอร์ที่มีถิ่นฐานอยู่ประเทศปาปัวนิวกินี สาเหตุของโรคเกิดจากโปรตีนพรีออน (โปรตีนในสมองซึ่งเป็นตัวก่อโรคคูรู) ก่อให้เกิดอาการสั่นของร่างกาย มีความบกพร่องทางการเคลื่อนไหว และการเสื่อมของระบบประสาท

 

ที่มาของภาพ : flagfrog

 

       โรคนี้สามารถแพร่เชื้อได้โดยการบริโภคเนื้อมนุษย์ ซึ่งชนเผ่าฟอร์จะมีประเพณีที่นำร่างผู้เสียชีวิตในครอบครัวมาบริโภคเพื่อเป็นการไว้ทุกข์ และแสดงความเคารพให้แก่ผู้เสียชีวิต มารดาและบุตร โดยจะเริ่มบริโภคสมองก่อน ซึ่งจะมีโอกาสในการรับโรคติดต่อได้ง่ายกว่า เพราะเป็นบริเวณที่โปรตีนพรีออนสะสมอยู่มากที่สุด

       อาการของโรคนั้นขั้นแรก ผู้ป่วยจะเคลื่อนไหวร่างกายและกล้ามเนื้อค่อนข้างลำบาก มีอาการสั่น พูดไม่รู้เรื่อง หลังจากนั้นโรคจะเริ่มมีผลกับระบบกล้ามเนื้อของร่างกาย ทั้งยังส่งผลต่อการกลืนอาหารทำให้ผู้ป่วยขาดสารอาหาร ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้ ไม่ตอบสนองต่อสิ่งรอบตัว และผู้ป่วยจะเสียชีวิตภายในเวลาสามเดือนถึงสองปีหลังจากเริ่มอาการของขั้นนี้ โดยส่วนมากเพราะปอดอักเสบหรือการติดเชื้อ              

       และเนื่องจากเกิดการแพร่ระบาดของโรคนี้เป็นจำนวนมาก ทำให้มีการบังคับใช้กฎหมายจากยุคอาณานิคมของออสเตรเลีย และความพยายามของนักเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในท้องถิ่นเพื่อยกเลิกการกินเนื้อมนุษย์ ส่งผลให้โรคคูรูมีสถิติลดลงในกลุ่มชนเผ่าฟอร์ในช่วงปี พ.ศ. 2503 แต่เนื่องจากโรคนี้มีระยะการฟักตัวหลายปี ทำให้ยังคงมีผู้เสียชีวิตจากโรคคูรูอยู่อีกหลายปี จนกระทั่งผู้เสียชีวิตรายสุดท้ายของโรคคาดว่าน่าจะเสียชีวิตลงใน พ.ศ. 2548 หรือ พ.ศ. 2552 ที่ผ่านมานี้เอง

       และจากข้อมูลนั้นก็ชี้ชัดให้เห็นแล้วว่าการบริโภคเนื้อมนุษย์นั้นอาจจะตามมาซึ่งโรคติดต่อต่าง ๆ และบวกกับจริยธรรมอันดีที่มนุษย์ควรจะมีต่อมนุษย์ด้วยกัน ทำให้ประเพณีการกินเนื้อมนุษย์นั้นค่อย ๆ จางหายไป แต่ทว่าก็ยังมีผู้คนบางกลุ่มที่ยังคงรักษาพฤติกรรมการกินแบบนี้ไว้ หรือกลุ่มคนที่มีความเชื่อตลอดจนผู้คนที่มีอาการทางประสาทบางจำพวกที่ส่งผลให้คนเหล่านั้นนิยมชมชอบที่จะหันมากินเนื้อมนุษย์ด้วยกันเอง ซึ่งจะตัดสินว่าผิดหรือไม่นั้นก็คงต้องพิจารณาเป็นกรณีไป

 

ข้อมูลอ้างอิงและภาพประกอบ : อึ้ง! มนุษย์กินคน…เรื่องจริงไม่อิงนิยาย

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0