อินเดียเห็นเทือกเขาหิมาลัย ตัดท้องฟ้าสีคราม งามดุจจิตรกรรังสรรค์

ประชาชนในรัฐปัญจาบ ทางภาคเหนือของอินเดีย แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เมื่อพวกเขาเงยหน้าดูท้องฟ้าที่อยู่ไกลลิบลับ ห่างออกไปในอีกฟากฝั่งหนึ่งของประเทศ สายตาไปหยุดนิ่งอยู่ที่แนวยอดเขาสีขาวโพลน ของเทือกเขา “หิมาลัย” ซึ่งร้อยวันพันปีแล้วที่พวกเขาไม่เคยได้เห็นปรากฏการณ์เช่นนี้ แต่ขณะนี้ สามารถมองเห็นเทือกเขาที่สูงที่สุดในโลกลูกนี้อย่างชัดเจน แม้จะอยู่ห่างไกลออกไปมากกว่า 100 ไมล์ หรือกว่า 160 กิโลเมตร เนื่องจากมลภาวะทางอากาศลดลงอย่างมาก จากมาตรการปิดประเทศของรัฐบาลอินเดียเพื่อควบคุมการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โควิด-19

ชาวอินเดียในเมืองชลันธระ รัฐปัญจาบ และพื้นที่โดยรอบ ได้โพสต์ภาพนี้ทางออนไลน์ ซึ่งเป็นภาพที่พวกเขามองเห็นได้ที่บ้าน ซึ่งบางคนกล่าวว่า ไม่เคยเห็นยอดเขาหิมาลัยมาหลายสิบปีแล้ว “เป็นครั้งแรกเลยในรอบเกือบ 30 ปี ที่ฉันได้เห็นเทือกเขาหิมาลัยอย่างชัดเจนขนาดนี้ เพราะอานิสงส์ของการปิดเมือง จนทำให้ปัญหามลภาวะทางอากาศหายไปโดยปริยาย มันช่างอัศจรรย์จริง ๆ” มานจิต กัง เขียนในทวิตเตอร์ของเธอ
ปรากฏการณ์เช่นนี้ เกิดจากคุณภาพอากาศที่ดีขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้ หลังจากมีการปิดโรงงานอุตสาหกรรม, รถยนต์ไม่มีวิ่งอยู่บนถนน และเครื่องบินยกเลิกเที่ยวบิน เพื่อป้องกันและควบคุมการระบาดของไวรัสมรณะ คณะกรรมการควบคุมมลภาวะกลางของรัฐบาลอินเดีย พบว่า เฉพาะกรุงนิวเดลี เมืองหลวงของอินเดีย ระดับมลพิษทางอากาศ หรือฝุ่นขนาดเล็ก พีเอ็ม10 (PM10) ลดลง 44 เปอร์เซ็นต์ในวันแรกของการใช้มาตรการควบคุมการเดินทาง (ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน (PM10) เป็นฝุ่นที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 10 ไมครอน หรือเล็กกว่า เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง การเผาในที่โล่ง กระบวนการอุตสาหกรรม การบด การโม่ หรือการทำให้เป็นผงจากการก่อสร้าง ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเนื่องจากเมื่อหายใจเข้าไปสามารถเข้าไปสะสมในระบบทางเดินหายใจ)

รายงานระบุว่า 85 เมืองทั่วอินเดีย มลพิษทางอากาศลดลงเกือบหมดในช่วงสัปดาห์ของการล็อคดาวน์ประเทศ ขณะเดียวกัน คุณภาพอากาศในเมืองชลันธระ ซึ่งอยู่ห่างจากเทือกเขาหิมาลัยมากกว่า 100 ไมล์ มีค่า “ดี” (good) ตามดัชนีวัดอากาศแห่งชาติของอินเดีย ในช่วง 16 วันแรกใน 17 วันตั้งแต่อินเดียประกาศปิดประเทศ แต่ตรงกันข้าม ใน 17 วันของช่วงเวลาเดียวกันนี้เมื่อปีที่แล้ว ไม่เคยมีแม้แต่วันเดียว ที่คุณภาพอากาศจะมีค่า “ดี” และใน 17 วันแรกของเดือนมีนาคม ปีนี้ มีเพียง 3 วันเท่านั้น ที่ดัชนีวัดคุณภาพอากาศ อ่านค่าได้ “ดี”
เพราะฉะนั้น ช่วงเวลานี้ เป็นช่วงเวลาที่ผู้คนไม่ได้ตั้งใจให้เกิด แต่ทุกคนก็ยินดีที่ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ได้เต็มปอดอีกครั้งสำหรับหลายมืองที่แออัดและเต็มไปด้วยมลพิษของประเทศ อินเดียขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีปัญหามลพิษเลวร้ายที่สุด ในจำนวนเมือง 30 เมืองที่มีอากาศเลวร้ายที่สุดในโลก อยู่ในอินเดียถึง 21 เมือง จากข้อมูลที่เก็บรวบรวมในรายงานการจัดอันดับคุณภาพอากาศโลก ปี 2019 ของ IQAir AirVisual ติดอันดับ 6 ใน 10 อันดับ

อินเดียล็อคดาวน์ประเทศมากว่า 2 สัปดาห์แล้ว โดยนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี สั่งห้ามประชาชนออกจากบ้าน มีเพียงการให้บริการที่จำเป็นเท่านั้นที่ให้เปิดทำกิจการต่อไปได้ ซึ่งรวมทั้งน้ำประปา, ไฟฟ้า, สาธารณสุขและดับเพลิง, ร้านขายของชำและสำนักงานของเทศบาลที่ต้องให้บริการประชาชน ส่วนห้างร้านอื่น ๆ, สำนักงานเชิงพาณิชย์, โรงงาน, สถานที่ทำงาน, สำนักงาน, ตลาดและศาสนสถานต่าง ๆ ปิดหมด เช่นเดียวกับรถบัสและรถไฟที่วิ่งให้บริการระหว่างรัฐ ก็ระงับการให้บริการ
อินเดียรายงานว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้วเกือบ 6,000 คน และเสียชีวิตแล้ว 178 คน จากข้อมูลของมหาวิทยาลัยจอนส์ ฮอปกินส์
เทือกเขาที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกแห่งนี้ สามารถมองเห็นได้เต็มตาชัดเจนมากกว่าความทรงจำครั้งใด ๆ ที่ผ่านมา และมันตระหง่านตัดกับท้องฟ้าสีครามที่กว้างใหญ่ สวยงามดุจจิตกรรังสรรค์ อีกทั้งในยามนี้ มันยังร้าง ไร้เงาของนักไต่เขาด้วย เพราะหลายเทือกเขาถูกปิดไม่อนุญาตให้นักไต่เขาขึ้นไปผจญภัย เป็นเวลาเกือบ 1 เดือนแล้ว เทือกเขาเอเวอเรสต์ ทั้งฝั่งประเทศเนปาล และจีน ปิดมาตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม และจะปิดต่อไปจนกว่าสถานการณ์การระบาดของไวรัสมรณะจะผ่านพ้นไป
ไม่มีใครต้องการเผชิญกับโรคระบาดเลวร้ายแบบนี้ ที่มาเข่นฆ่าผู้คนและทำเศรษฐกิจย่อยยับ แต่การมาของโควิด-19 กลับเป็นการทำให้ธรรมชาติได้พักผ่อน ฟื้นตัว น้ำทะเลใสเย็น ท้องฟ้าแจ่มกระจ่าง หลังจากที่มนุษย์ปู้ยี่ปู้ยำธรรมชาติหนักหนาสาหัส ยับเยิน โลกนี้เบาขึ้นอีกเยอะ ถ้าน้ำทะเลและท้องฟ้าพูดคุยทักทายกันได้ คงจะยอกเย้าหัวเราะชอบใจด้วยความสุข
แต่พวกเราที่อยู่บนโลกใบนี้ วินาทีนี้ คงต้องป้องกันและรักษาตัวเองให้รอดปลอดภัยจากไวรัสร้ายไปให้ได้ด้วยการร่วมแรงร่วมใจกัน จากนั้นต้องหันกลับมาใส่ใจธรรมชาติให้มากยิ่งขึ้น