ต้องบอกว่าเมืองไทยเรายังไม่พ้นหน้าฝนไปไหน อากาศที่อึมครึมตลอดวันทำให้เราไม่รู้สึกว่าเจอแสงแดด ทำให้หลายคนเชื่อว่าในช่วงฤดูฝนเราไม่จำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์ปกป้องผิวจากแสงแดด แต่ขอบอกว่าเป็นความเชื่อที่ผิดมหันต์ค่ะ! เพราะไม่ว่าฤดูไหนแสงแดดก็ทำร้ายผิวได้ทั้งนั้น มาดูเหตุผลกันค่ะว่าทำไมแม้จะเป็นหน้าฝนก็ยังต้อง ใช้ครีมกันแดด
ถึงเป็นหน้าฝนก็ต้อง ใช้ครีมกันแดด
ทำความรู้จักกับรังสีอัลตราไวโอเลต
อย่าให้เมฆก้อนดำๆ เทาๆ บนท้องฟ้าหลอกเราว่าปลอดภัยจากดวงอาทิตย์ เพราะแสงแดดที่ส่องมายังพื้นโลกนั้นมีรังสีหลายชนิดเป็นส่วนประกอบ รวมไปถึงรังสีอัลตราไวโอเลตหรือรังสียูวีที่เราคุ้นเคยกัน โดยสองตัวหลักๆ คือรังสียูเวเอ (UVA) และรังสียูวีบี (UVB) โดยรังสียูวีบีจะส่งผลต่อผิวหนังชั้นนอก ในขณะที่ยูวีเอสามารถเดินทางทะลุผิวหนังชั้นนอกสู่ผิวหนังชั้นในได้โดยตรง ดังนั้น ไม่ว่าจะมองเห็นหรือไม่ รังสียูวีก็จะคอยทำร้ายผิวอยู่เสมอ
เมื่อเราโดนแดดในระยะเวลาหนึ่ง ผิวจะเริ่มไหม้และเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้น ในขณะเดียวกันรังสียูวีเอที่สามารถทะลุเข้าไปในผิวหนังชั้นที่ลึกกว่าจะส่งผลในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นผิวเหี่ยวย่น ขาดน้ำ มีริ้วรอยและจุดด่างดำ รวมทั้งผลเสียที่แย่ที่สุด ซึ่งก็คือมะเร็งผิวหนังนั่นเอง
ถึงฟ้าไม่สดใส ยังไงก็ต้องใช้ครีมกันแดด
จากบทความวิชาการของ สถาบันมะเร็งผิวหนัง ได้บอกไว้ว่า ถึงแม้ในฤดูฝน รังสียูวีเอก็ยังสามารถทะลุผ่านเมฆครึ้มหนาบนท้องฟ้ามาถึงตัวเราได้อย่างเต็มที่เหมือนเดิม ดังนั้นในวันที่อากาศครึ้ม ไม่มีแดด หรือแม้ในขณะอยู่ในที่ร่ม หากอยู่ใกล้หน้าต่างหรือกระจก เจ้ารังสียูวีเอก็ยังคงสามารถทำร้ายผิวเราได้โดยไม่รู้ตัวเช่นเดียวกัน ดังนั้น การใช้ครีมกันแดดจึงเป็นสิ่งที่ต้องทำเป็นกิจวัตรประจำวัน ไม่ว่าจะมีแดดหรือไม่ก็ตาม
เลือกครีมกันแดดที่เหมาะสม ก็ทำให้ผิวสวยได้แบบไม่เยิ้ม
เมื่ออากาศชื้นและเหนอะหนะ จึงเป็นสาเหตุให้หลายต่อหลายคนไม่อยากใช้ครีมกันแดด เพราะจะยิ่งไปเพิ่มความไม่สบายผิว แต่ตอนนี้มีครีมกันแดดเนื้อน้ำและเนื้อโลชั่นมากมายหลายแบรนด์ที่เนื้อบางเบา และซึมซาบเร็ว จึงไม่เหนียวเหนอะหนะ เหมาะกับอากาศร้อนและชื้น ซึ่งหากสาวๆ คนไหนไม่ชอบสัมผัสที่เหนอะหนะของครีมกันแดดแบบทั่วไป ก็ลองเลือกครีมกันแดดที่มีเนื้อสัมผัสบางเบามาปกป้องผิวแทนก็ได้ค่ะ