โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

ชี้โอกาสทำกำไร “หุ้นยั่งยืน” ในทุกภาวะตลาดด้วยกลยุทธ์...‘LONG–SHORT Strategy’ !!!

Wealthy Thai

อัพเดต 09 ส.ค. 2566 เวลา 23.59 น. • เผยแพร่ 25 พ.ค. 2564 เวลา 18.13 น. • สรวิศ อิ่มบำรุง

“การลงทุนอย่างยั่งยืน (Sustainability Investment)” หนึ่งในกระแสการลงทุนหลักของโลกที่กำลังมาแรงอย่างปฏิเสธไม่ได้
เป็นการสร้างเศรษฐกิจแบบรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งความนิยมนี้จะเห็นได้จากเม็ดเงินลงทุนที่ไหลเข้า“กองทุนยั่งยืน” ต่างๆ ในตลาดได้เป็นอย่างดี
ในไทยเองก็มีการนำเสนอกองทุนยั่งยืนทั้งในและต่างประเทศอยู่บ้างพอสมควร แต่นี่จะเป็นครั้งแรกในไทยที่จะมีการนำกลยุทธ์ LONG – SHORT Strategy” เข้ามาใช้กับกองทุนยั่งยืน
เป็นการสานต่อกลยุทธ์การลงทุนเพื่อความยั่งยืนจากทางKBank Private Banking”
วันนี้ ทีมงาน ‘Wealthythai’ มีเรื่องราวดีๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มาอัพเดทกัน

ลุย 5 Theme ที่เป็น ‘Mega Trend’ หุ้นยั่งยืนทั่วโลก

โดย “ศิริพร สุวรรณการ”Managing Director – Financial Advisory Head, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย บอกว่า “KBank Private Banking” เชื่อว่าเทรนด์ลงทุนด้านความยั่งยืนเป็นโอกาสสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะยาว จากหลักการธนาคารแห่งความยั่งยืนของธนาคารกสิกรไทย ที่เน้นเสริมสร้างความสมดุลทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ล้วนมีส่วนสำคัญในการผลักดันแนวคิดการลงทุนในธีมธุรกิจเพื่อความยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างยั่งยืน ในขณะที่ทุกเม็ดเงินที่ลงทุนยังสนับสนุนธุรกิจที่สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้แก่โลกอย่างแท้จริง

(ศิริพร สุวรรณการ)

“การลงทุนอย่างยั่งยืน ไม่ได้จำกัดเฉพาะเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเท่าเทียมในการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ บริการทางการเงิน และโอกาสทางการศึกษาเพื่อช่วยยกระดับสังคม และความเป็นอยู่ของคนในสังคมให้เท่าเทียมกันด้วย”
ล่าสุด “KBank Private Banking” ร่วมกับ “บลจ.กสิกรไทย” นำเสนอกองทุนใหม่ “กองทุนเปิดเค Sustainable Long-Short ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (K-SUSTAIN-UI)” กองทุนยั่งยืนกองแรกของไทย ที่ใช้ LONG – SHORT Strategy เน้นลงทุนสร้างกำไร ทั้งจากหุ้นที่ได้รับประโยชน์และเสียประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงแนวทางในการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นไปสู่ความยั่งยืนซึ่งอยู่ระหว่างขาย IPO วันนี้-28 พ.ค. 21 นี้

โดย ‘K-SUSTAIN-UI’ จะทำการลงทุนผ่านกองทุนหลัก ‘JPMorgan Funds - Multi-Manager Sustainable Long-Short Fund, Class JPM S2 (perf) (acc) – USD’ ในอัตราส่วนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุน โดยกองทุนหลักจะโฟกัสการลงทุนใน 5 Theme ที่เป็น Mega Trend” ที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงและสร้างความเติบโตโดยไม่ทิ้งความเสียหายไว้กับโลก (Sustainability Megatrend) ได้แก่

  • การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) เช่น การใช้พลังงานสะอาดพลังงานลมหรือพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นต้น

  • การดูแลสุขภาพ (Health and Wellness) การใช้เทคโนโลยีการแพทย์รักษาทางไกลหรือการใช้นวัตกรรมเพื่อสุขภาพทำให้ชีวิตดีขึ้น เป็นต้น

  • โอกาสในการเข้าถึงการศึกษาหรือบริการทางการเงินอย่างเท่าเทียม (Empowerment) บริษัทที่พัฒนาเทคโนโลยีที่ทำให้คนเข้าถึงข้อมูล ความรู้และบริการทางการเงินจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำให้ลดลง เป็นต้น

  • การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ (Resource Efficiency) บริษัทที่มีการผลิตสินค้าและบริการโดยใช้วัสดุที่นำกลับมาใช้ใหม่หรือใช้ซ้ำ เป็นต้น

  • เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน (Technology for Sustainability) ถือเป็นกระดูกสันหลังของกลุ่มธุรกิจทุกธีมเลยก็ว่าได้ ก็จะมีเทคโนโลยีที่หลากหลายเพื่อความยั่งยืน

สร้างกำไรทุกสภาวะตลาดด้วยกลยุทธ์“LONG – SHORT Strategy”

โดยทั้ง 5 Theme-หุ้นยั่งยืนทั่วโลกดังกล่าวนั้น จะใช้กลยุทธ์“LONG – SHORT Strategy”ในการลงทุนซึ่งถือเป็นกองทุนยั่งยืนในไทยกองแรกที่ใช้กลยุทธ์นี้ โดยกลุ่มธุรกิจที่สามารถปรับตัวเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้ จะได้รับประโยชน์จากกำไร และการเติบโตที่มากขึ้น จะกลายเป็น“ผู้ชนะ (Winner)”ในขณะที่บริษัทที่ไม่สามารถปรับตัวได้จะเผชิญกับความเสี่ยงกับการถดถอย และกำไรที่ลดลงของบริษัท แล้วกลายเป็น “ผู้แพ้ (Loser)” ได้ในที่สุด
ทั้งนี้ “JP Morgan Asset Management” ผู้บริหารกองทุนหลัก มีประสบการณ์กว่า 25 ปี ทั้งในการซื้อหุ้น (Long) ที่มีโอกาสเติบโตมาถือไว้เพื่อกำไรในอนาคต และการขายหุ้น (Short) ที่มีแนวโน้มราคาลดลง หรือที่เรียกว่า ‘Long - Short Strategy’ ทำให้ ‘กองทุน K-SUSTAIN-UI’ มีความพิเศษกว่ากองทุนยั่งยืนอื่นๆ ในไทย

“เพราะไม่เพียงเข้าซื้อหุ้นอย่างเดียว แต่ ‘จะซื้อหุ้น (Long)’ ที่คาดหวังว่าจะสร้างผลดำเนินงานได้ดี จากการปรับตัวไปสู่ความยั่งยืนในอนาคตเป็น Winnerซึ่งราคา ณ ปัจจุบันยังไม่ได้สะท้อนถึงความเติบโต และ ‘จะขายหุ้น (Short)’ ที่ราคาแพงเกินไปในปัจจุบัน หรือหุ้นที่อาจจะเสียโอกาสจากการไม่ยอมปรับตัวเป็น Loser หรือไม่มีความสามารถในการปรับตัวไปสู่ความยั่งยืนเพื่อลดความเสี่ยงในช่วงตลาดขาลง ด้วยกลยุทธ์นี้ ทำให้สามารถสร้างโอกาสและผลตอบแทนจากทั้งหุ้นที่จะเป็นผู้ชนะและผู้แพ้ ยิ่งไปกว่านั้นยังช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนอีกด้วย”
ทั้งนี้ จากตารางจะพบว่าโดยปกติการลงทุนใน ‘พลังงานสะอาด (MSCI Renewable)’ จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ‘พลังงานแบบดั้งเดิม (MSCI Energy)’ แต่ด้วยกลยุทธ์การ Long พลังงานสะอาด 100% และ Short พลังงานดั้งเดิม 60% ทำให้กองทุนมีการลงทุนสุทธิในหุ้นเพียง 40% ก็สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในทุกช่วงภาวะตลาดเลยทีเดียว โดยปกติกองทุนจะ Short Position ระหว่าง 20-60%
“ในช่วงตลาดขาขึ้น ได้กำไรจากพลังงานสะอาดที่ขึ้นกว่า ในช่วงตลาดขาลงก็ได้กำไรจากการ Short พลังงานดั้งเดิม ซึ่งหากถือลงทุนระยะยาวโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีก็จะมีมากขึ้นด้วยเช่นกัน โอกาสขาดทุนน้อยสำหรับกลยุทธ์นี้หากถือ 3 ปี หรือ 5 ปี ต่อเนื่อง จากการทดสอบสถิติย้อนหลัง (Back Test)”

มี “Sub-Advisor” ช่วยบริหารกองทุน นอกเหนือจาก “ผู้จัดการกองทุนหลัก”

ด้วยประสบการณ์ของ “JP Morgan Asset Management” ที่สามารถเฟ้นหาผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม มาเป็น “ผู้จัดการกองทุนย่อย (Sub-Advisor)” ทั้งหมด 7 กอง (โดยสามารถเลือกได้ 7 – 10 ราย) ได้แก่ 1.ตลาดเกิดใหม่ 2.ตลาดจีน 3.ตลาดยุโรป 4.กลุ่มสุขภาพ 5.กลุ่มสาธารณูปโภค 6.กลุ่มผู้บริโภค เทคโนโลยี สื่อ และโทรคมนาคม และ7.การมีส่วนร่วมการเปลี่ยนแปลงบริษัทผ่านการถือหุ้น
“ซึ่งผู้จัดการกองทุนเหล่านี้ จะมาช่วยบริหารการลงทุนภายใต้ 5 ธีมความยั่งยืนที่กล่าวข้างต้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้กลยุทธ์ Long – Short สามารถสร้างผลตอบแทนที่เป็นบวกในทุกวัฏจักร จัดการผ่านช่วงเวลาที่หุ้นมีความผันผวนได้ดี และสามารถทำกำไรจากการ Short หุ้นได้”
ตั้งแต่จัดตั้งกองทุนหลัก ‘JPMorgan Funds - Multi-Manager Sustainable Long-Short Fund, Class JPM S2 (perf) (acc) – USD’ เมื่อเดือนก.พ. 20 ให้ผลตอบแทนตั้งแต่จัดตั้งกองทุน 15.53% (ข้อมูล ณ วันที่ 20 พ.ค. 21) และด้วยกลยุทธ์ Long-Short และความสามารถของ Sub-Advisor ในปี 20 ในช่วงเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ดัชนีตลาดหุ้นโลก (MSCI World) ปรับลงไปกว่า -21%แต่กองทุนหลักปรับลงเพียง -9.44%เท่านั้น เรียกว่ามีความผันผวนน้อยกว่าตลาดในช่วงตลาดลง แต่สามารถทำผลตอบแทนได้ใกล้เคียงกับหุ้นโลกในช่วงตลาดขาขึ้น แม้จะมี Net Position ในหุ้นเพียงประมาณ 40% ก็ตาม
สุดท้าย“KBank Private Banking” แนะนำให้นักลงทุนที่สนใจลงทุนในระยะยาว เพราะยิ่งลงทุนระยะยาว และลงทุนผสม จะช่วยลดความผันผวนของพอร์ตได้เป็นอย่างดี เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นและยังช่วยโลกยั่งยืนได้อีกด้วย

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0