หุ้นไทย อ่วม!! วิกฤตโควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคเศรษฐกิจไทย แม้หุ้นไทยจะฟื้นกลับมายืนเหนือ1,000 จุด แต่เมฆหมอกของวิกฤตยังไม่จางลงยังไว้ใจอะไรไม่ได้ หากวิเคราะห์ในเชิงพื้นฐาน แทบไม่มีกลุ่มอุตสาหกรรมใดในตลาด หุ้นไทย จะพลิกฟื้นมาช่วยดันSET Index ได้เลย
ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยตอนนี้(6 เมษายน2563) ดัชนีSET Index ปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดของรอบล่าสุดที่966 จุดมาอยู่ที่1,138 จุด เป็นการปรับตัวขึ้น17%
P/E ล่าสุดของตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ระดับ13.1 เท่า ซึ่งหากเปรียบเทียบกับวิกฤตซับไพร์มในครั้งก่อนP/E ของSET Index เทรดกันอยู่ที่เลขตัวเดียว โดยเคยลงมาเทรดกันที่P/E 5 เท่าและค่าเฉลี่ยP/E ของ หุ้นไทย อยู่ที่ระดับ8-12 เท่า หมายความว่าการที่หุ้นไทยปรับตัวลดลงมาแล้ว27.89% นับตั้งแต่ต้นปีนี้ยังไม่ได้ทำให้หุ้นไทย“ถูก”
ประกอบกับวิกฤตรอบนี้ส่งผลกระทบไปยังภาคธุรกิจจริง(Real Sector) ต่างจากรอบที่แล้วที่กระทบเพียงแค่ภาคการเงิน และกระทบกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจไทยเขาอย่างจังนั่นคือการท่องเที่ยว
ตัวเลขจากสภาการเดินทางและท่องเที่ยวโลกระบุว่าประเทศไทยมีสัดส่วนรายได้จากภาคการท่องเที่ยวเทียบต่อจีดีพีสูงถึงระดับ22% ซึ่งสูงที่สุดในโลก รองลงมาคือฟิลิปปินส์ที่21% และเม็กซิโก16% ตามด้วยสเปนและอิตาลี
อุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีสัดส่วนถึงเกือบหนึ่งในสี่ของจีดีพีไทย และวิกฤตรอบนี้ได้ทำลายอุตสาหกรรมนี้อย่างชัดเจน จึงน่าจะบอกได้ว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เราเห็นในวันนี้…วันพรุ่งนี้อาจเลวร้ายกว่า
บทสรุปภาพรวมของดัชนีSET Index ณ ตอนนี้ยังไม่สะท้อน“ความเสียหาย” ที่แท้จริงซึ่งเกิดจากไวรัสโควิด-19 แม้ผลประกอบการไตรมาสแรกที่ออกมาก็ยังไม่สะท้อนความจริง เพราะผลกระทบเกิดขึ้นเพียงแค่เดือนมีนาคมเดือนเดียว
แนะนำให้รอผลประกอบการไตรมาสสองซึ่งครอบคลุมเดือนเมษายนถึงมิถุนายน ซึ่งน่าจะเป็นช่วงเวลาที่มีผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยตรงก่อนค่อยตัดสินใจลงทุน เพราะคาดว่าน่าจะมีการปรับลดกำไรต่อหุ้น(EPS)ของตลาดหุ้นไทย ลงจากผลประกอบการที่แย่ลง ทำให้ดัชนีในตอนนี้อาจจะ“แพง” ก็เป็นได้
หุ้นสื่อสาร-ประกัน-อาหารมีโอกาสเป็นพระเอก
เมื่อวิเคราะห์เชิงคุณภาพในรายอุตสาหกรรมโดยเฉพาะSector ที่มีน้ำหนักในSET Index สูงๆจะพบว่าในเชิงปัจจัยพื้นฐานแทบไม่มีอุตสาหกรรมไหนที่จะช่วยดันตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้เลย
กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี
ผลกระทบจากการคมนาคมขนส่งทั้งทางอากาศ ทางน้ำและทางบก ย่อมส่งผลต่อความต้องการใช้น้ำมันที่ลดลงอย่างแน่นอน ยังไม่นับสงครามราคาน้ำมันโลกที่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ ซาอุดิอาระเบียสามารถกดราคาน้ำมันไว้ที่ระดับ20 เหรียญต่อบาร์เรลได้สบายแถมยังจะเร่งผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นอีก ทำให้โอกาสที่ราคาน้ำมันจะปรับตัวขึ้นแรงๆเป็นไปได้ยากมาก หุ้นกลุ่มพลังงานจึงไม่น่าที่จะมีผลกำไรเติบโต และต้องจับตาผลการขาดทุนสต๊อกน้ำมันในไตรมาสแรกอีกด้วย
ปัจจัยบวกเดียวที่พอจะมีคือการนำPTTOR เข้าตลาด หุ้นไทย ในปีนี้ซึ่งพอจะช่วยให้PTT มีกำไรพิเศษบุ๊คเข้ามาบ้าง แต่ก็เป็นเพียงแค่ระยะสั้นเท่านั้น
กลุ่มธนาคารพาณิชย์
เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ดูแล้วมีแต่ปัจจัยลบรออยู่ข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายขาลงซึ่งจะกดดันให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยซึ่งถือเป็นอัตรากำไรของธนาคารลดลง รวมถึงการออกนโยบายช่วยเหลือลูกค้าทั้งการลดต้นลดดอกซึ่งจะส่งผลต่อผลประกอบการของธนาคารในระดับหนึ่ง
ระดับต่อไปคือหนี้เสียหรือNPL ที่อาจจะเกิดขึ้นหากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ไม่จบลงในระยะสั้น จะทำให้ภาคธุรกิจและบุคคลธรรมดาผิดนัดชำระหนี้ในอนาคต
แม้ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารจะปรับตัวลดลงอย่างมากจนทำให้P/BV ต่ำกว่า1 แต่ปัจจัยเสี่ยงที่รออยู่ข้างหน้าทำให้หุ้นกลุ่มธนาคารดูยังไม่น่าลงทุน
กลุ่มค้าปลีก
แม้ช่วงที่ผ่านมาจะเกิดการแห่ซื้อสินค้าในร้านค้าปลีกแต่นั่นน่าจะเป็นเพียงดีมานด์ในระยะสั้นเท่านั้น ระยะยาวหาเศรษฐกิจชะลอตัวนานเกินไปและผู้คนตกงานจำนวนมาก กำลังซื้ออาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ส่วนกิจการค้าปลีกที่มีรายได้จากค่าเช่าพื้นที่จะกระทบหนักกว่ากลุ่มที่มีรายได้จากส่วนแบ่งยอดขาย เพราะต้องลดค่าเช่าลงหรืออาจจะมีผู้ยกเลิกการเช่าจำนวนมากหากเศรษฐกิจยังไม่ฟื้น
กลุ่มท่องเที่ยวและขนส่ง
ถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบโดยตรง การที่อุตสาหกรรมการบินทั่วโลกหยุดชะงัก ย่อมส่งผลกระทบต่อรายได้ของAOT อย่างไม่ต้องสงสัย ขณะที่ธุรกิจโรงแรมและสายการบินซึ่งกระทบหนักที่สุด นาทีนี้ถือการพิสูจน์ว่าใครจะอึดกว่ากัน ถ้ายังไม่เลิกกิจการไปเสียก่อน หากไวรัสโควิดสามารถคลี่คลายลงได้เช่นรักษาหายหรือมีวัคซีนป้องกันได้แล้ว ผู้คนจะแห่กลับมาเดินทางท่องเที่ยวอีกครั้งอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ดังกล่าวเป็นเพียงแค่การวิเคราะห์เชิงคุณภาพในรูปแบบTop Down อาจจะมีหุ้นบางตัวที่สามารถพลิกโมเดลธุรกิจใหม่ในภาวะวิกฤตจนสามารถสร้างผลกำไรให้เติบโตสวนทางภาพรวมอุตสาหกรรมได้
รวมถึงยังไม่ได้วิเคราะห์รวมไปถึงมาตราการอัดฉีดทางด้านเศรษฐกิจที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ทั้งนโยบายการเงินและการคลัง ซึ่งอาจทำให้ตลาด หุ้นไทย ตอบรับในเชิงบวกล่วงหน้าจนเกิดเป็นV Shape ได้เช่นกัน
ในช่วงเวลานี้คือจังหวะที่ต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดและที่สำคัญ“อย่าใจร้อน” ไล่ซื้อหุ้น เพราะหมอกควันของวิกฤตยังไม่จางลง ยังไม่เห็นทางข้างหน้าว่ามีอุปสรรคอะไรรออยู่ ไม่จำเป็นต้องเล่งซื้อหุ้นจนหมดพอร์ตในตอนนี้
บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง : ทฤษฎีเกมส์ “ซาอุดิอาระเบีย” ดิ้นเฮือกสุดท้ายขอคุมราคาน้ำมันโลก
ล่าสุด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แจ้งว่าตามที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตาม พ.ร.ก. การบริหาร ราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ของภาครัฐ (เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2563) เพื่อควบคุมการระบาดของโรคโค วิด-19 โดยห้ามบุคคลใดทั่วราชอาณาจักรออกนอกเคหสถานระหว่างเวลา 22.00-04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น เริ่ม 3 เมษายน 2563 กลุ่มตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมเดินหน้าตามแผนดำเนินธุรกิจต่อเนื่อง (Business Continuity Plan)
โดยเปิดซื้อขายได้ตามปกติ ทั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) และการดำเนินงานของ บริษัท สำนักหักบัญชี (ประเทศไทย) จำกัด (TCH) บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด (TSD) เป็นไปอย่างต่อเนื่อง หุ้นไทย