โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

ส่งออกก.พ.ขยายตัว 5.9% ปัจจัยชั่วคราวจากการส่งกลับอาวุธ

กรุงเทพธุรกิจ

เผยแพร่ 23 มี.ค. 2562 เวลา 20.00 น.

EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ วิเคราะห์มูลค่าการส่งออกไทยเดือน ก.พ. 2019 พลิกกลับมาขยายตัวที่ 5.9%YOY หลังหดตัวในเดือนก่อนหน้าที่ -5.6%YOY โดยเป็นผลมาจากปัจจัยชั่วคราวด้านการขนอาวุธกลับของสหรัฐฯ ภายหลังการซ้อมรบ ทำให้ตัวเลขการส่งออกขยายตัวในภาพรวมสูงกว่าปกติ ทั้งนี้มูลค่าการส่งออกอาวุธอยู่ที่ 1,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็นกว่า 8.8% ของมูลค่าส่งออกในเดือนกุมภาพันธ์ โดยหากหักการส่งออกอาวุธและยุทธปัจจัย มูลค่าการส่งออกยังคงหดตัวต่อเนื่องที่ -3.4%YOY และหากหักการส่งออกทองคำเพิ่มเติม พบว่ามูลค่าการส่งออกจะหดตัวเพิ่มขึ้นเป็น -4.8%YOY นับเป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน

การหดตัวของมูลค่าการส่งออกไทย (เมื่อมีการหักมูลค่าส่งกลับอาวุธ) มีทิศทางสอดคล้องกับการส่งออกของประเทศอื่นในภูมิภาค สะท้อนทิศทางการค้าโลกที่ลดลงจากภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีน ทั้งนี้สินค้าหลักของไทยที่มีการหดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ ได้แก่ ยานพาหนะ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ สินค้าเกษตร และเคมีภัณฑ์

ด้านมิติการส่งออกรายตลาดสำคัญพบว่า การหดตัวของมูลค่าการส่งออกรายตลาดมีทิศทางกระจายตัวมากขึ้น (broad-based) กล่าวคือ ตลาดส่งออกของไทยที่มีการหดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา คิดเป็นสัดส่วนกว่า 80% ของมูลค่าส่งออกรวม (รวมการส่งออกไปสหรัฐฯ ด้วย แม้ว่ามูลค่าการส่งออกไปสหรัฐฯ ในเดือนกุมภาพันธ์จะขยายตัวได้ 97.3%YOY แต่หากหักอาวุธและยุทธปัจจัย จะคิดเป็นการหดตัวที่ -11.7%YOY) เทียบกับในเดือนมกราคมที่ตลาดส่งออกที่มีการหดตัวคิดเป็นเพียง 66.6% เท่านั้น สะท้อนว่าทิศทางการค้าโลกยังคงลดลงต่อเนื่อง และยังไม่เห็นสัญญาณการกลับตัวที่ชัดเจน (รายละเอียดการส่งออกรายตลาดสำคัญ

สินค้าส่งออกของไทยที่เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานในการผลิตสินค้าส่งออกของจีน ยังคงได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าต่อเนื่อง โดยจากรูปที่ 2 พบว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยไปจีนในภาพรวมมีทิศทางหดตัวตามการชะลอลงของเศรษฐกิจจีนเป็นสำคัญ อย่างไรก็ดี สินค้าส่งออกของไทยที่ได้รับผลกระทบทางอ้อมจากสงครามการค้าโดยเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานในการผลิตสินค้าส่งออกของจีนนั้น มีทิศทางหดตัวมากกว่าสินค้าอื่นๆ ที่ไม่ได้รับผลกระทบ ซึ่งหากพิจารณาลงรายละเอียดพบว่า สินค้าที่ได้รับผลกระทบยังมีการหดตัวในระดับสูงต่อเนื่อง ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์-อุปกรณ์และส่วนประกอบ หมวดแผงวงจรไฟฟ้า ไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ และยางพารา ที่มีการหดตัวที่ -8.3%YOY -32.5%YOY -33.4%YOY และ -26.0%YOY ตามลำดับ

มูลค่าการนำเข้าหดตัวที่ -10.4%YOY ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าซึ่งขยายตัวที่ 14.0%YOY (ขยายตัวในระดับสูงจากการนำเข้าอาวุธจากสหรัฐฯ เพื่อทำการซ้อมรบ) โดยสาเหตุสำคัญที่ทำให้มูลค่านำเข้าในเดือนกุมภาพันธ์มีการหดตัวในระดับสูง เกิดจากการหดตัวของการนำเข้าทองคำ (-56.8%YOY) และสินค้าทุนพิเศษ ประเภทเครื่องบิน เรือ และรถไฟ (-91.0%YOY) ทั้งนี้หากไม่รวมสินค้าดังกล่าวพบว่า มูลค่านำเข้าเหลือหดตัวเพียง -3.2%YOY

อีไอซีมองว่า การขยายตัวของการส่งออกในปี 2019 มีแนวโน้มต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 3.4% เนื่องจากตัวเลขมูลค่าการส่งออกในช่วง 2 เดือนแรก (หากไม่รวมการส่งกลับอาวุธ) มีการหดตัวมากกว่าที่คาดจากปัจจัยลบทั้งในส่วนของการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และผลกระทบจากสงครามการค้า แม้ว่าล่าสุดจีนและสหรัฐฯ จะมีท่าทีประนีประนอมมากขึ้น โดยสหรัฐฯ ได้ทำการเลื่อนการขึ้นภาษีจาก 10% เป็น 25% ออกไป จากเดิมที่จะขึ้นในวันที่ 1 มี.ค. 2019 อย่างไรก็ดี ในภาพรวมก็ยังถือว่าสงครามการค้ายังคงมีทิศทางยืดเยื้อ นอกจากนี้ อีไอซีมองว่าราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยทั้งปี 2019 มีแนวโน้มหดตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป และเคมีภัณฑ์ ให้มีทิศทางชะลอลงเช่นกัน

อีไอซีมองว่า การขยายตัวของการนำเข้ามีแนวโน้มต่ำกว่าคาดการณ์ตามการส่งออกที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของการนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าทุนที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก ประกอบกับแนวโน้มการลดลงของราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยในปี 2019 ยังส่งผลต่อการขยายตัวของมูลค่านำเข้าสินค้าเชื้อเพลิง ทำให้คาดว่าการนำเข้าทั้งปี 2019 จะมีทิศทางชะลอลงจากปี 2018 อย่างไรก็ดี อีไอซีคาดว่าสินค้านำเข้าประเภทอุปโภคบริโภคและสินค้าทุนที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายภายในประเทศจะยังขยายตัวได้

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0