โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

สรุปเหตุสลด เสี่ยเต็นท์รถตายยกครัว พิษหนี้ดอกแสน กล้องดับ พ่อเชื่อมีเบื้องหลัง

Thairath - ไทยรัฐออนไลน์

อัพเดต 22 ก.พ. 2563 เวลา 12.43 น. • เผยแพร่ 22 ก.พ. 2563 เวลา 11.55 น.
ภาพไฮไลต์
ภาพไฮไลต์

พิษเศรษฐกิจ ออกฤทธิ์ออกเดชเข้าอย่างจัง และทยอยเล่นงานกับประชาชนชาวไทยทั่วทุกหัวระแหง ซึ่งครอบครัว “แป้นวงศ์” ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งครอบครัวที่ไม่สามารถหลีกหนีพิษร้ายนี้ได้พ้น

ภาพเบื้องหน้าของ เฮียตี๋ คนสำคัญของเรื่องราวที่เรากำลังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ ภาพของนักธุรกิจวัย 38 ปี อยู่บ้านหลังโต เนื้อที่กว้างใหญ่ ธุรกิจหลากหลาย ครอบครัวสุขสันต์ ไปเที่ยวต่างประเทศอยู่เสมอ แต่ใครเล่าจะล่วงรู้ว่า ภายใต้ภาพเหล่านั้น มีความทุกข์เศร้าซ่อนอยู่

  • เหตุการณ์อันแสนเศร้าสลดนี้ เริ่มต้นจากความผิดปกติเมื่อวันพุธที่ 19 ก.พ. นายกัณตภณ แป้นวงศ์ หรือเฮียตี๋ สั่งให้หลานสาว ที่มีหน้าที่ดูแลหน้าเต็นท์รถปิดการทำงานของกล้องวงจรปิดทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นร้านเต็นท์รถ หรือบริเวณโดยรอบของบ้าน ซึ่งทั้งสองแห่งอยู่ในพื้นที่ติดกัน และเฮียตี๋ยังอนุญาตให้ลูกน้องหยุดงาน ทั้งๆ ที่ไม่ใช่วันหยุด

(หมายเหตุ : เดิมที เฮียตี๋ เป็นนักกีฬาฟุตบอล และเป็นอดีตนายร้อยตำรวจ โดยเรียนจบจากโรงเรียนนายร้อยตํารวจ มียศร้อยตำรวจตรี ซึ่งหลังจบจากโรงเรียนตำรวจไม่นาน ได้ผันตัวเองออกมาทำธุรกิจ)

  • เวลา 23.00 น. ของวันเดียวกัน ญาติของเฮียตี๋ ยังสามารถติดต่อพูดคุยกับเฮียตี๋ และคนในครอบครัวได้
  • จากการสันนิษฐานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ระบุว่า ในช่วงกลางดึกของคืนนั้น เฮียตี๋และภรรยา ได้ชวนแม่, พี่สาว และลูกชายวัย 13 ปี ของตัวเอง รวมทั้งหมด 5 คน ไปนั่งเล่นกันในห้องนอนของแม่ พร้อมกับได้นำสุนัข 6 ตัวที่เฮียตี๋รักมาก เข้ามาอยู่ภายในห้องด้วย
  • จากนั้น เฮียตี๋และภรรยา ได้นำยาชนิดหนึ่งที่มีฤทธิ์ทำให้ง่วง ใส่เข้าไปในน้ำ โดยให้แม่, พี่สาว และลูกชายดื่ม ส่วนเฮียตี๋ และภรรยาก็พร้อมใจกันดื่มน้ำที่ผสมยาดังกล่าวด้วยเช่นกัน
  • เมื่อทุกคนเริ่มนอนหลับ เฮียตี๋ได้นำถุงพลาสติกมาปิดช่องระบายอากาศทุกช่องภายในห้องเอาไว้ และก็เริ่มนำเตาอั้งโล่ เข้าไปจุดถ่านภายในห้องน้ำ
  • ทันทีที่เฮียตี๋เห็นว่าทุกคนนอนหลับ ไปพร้อมกับควันที่ลอยละล่องอยู่ทั่วทั้งห้อง เฮียตี๋ก็ตัดสินใจปลิดชีวิตตัวเอง ด้วยการกินยาฆ่าตัวตาย (ศพเฮียตี๋มีเลือดออกจากปาก เบื้องต้นสันนิษฐานว่า กินยาฆ่าตัวตาย)
  • หลังจากวันพุธที่ 19 ก.พ. ญาติและเพื่อนของครอบครัวเฮียตี๋พยายามติดต่อคนในครอบครัวนี้ทุกช่องทาง แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับใดๆ จึงตัดสินใจพากันเดินทางไปที่บ้านของเฮียตี๋ พบว่า รถจอดอยู่ แต่ประตูบ้านปิดล็อก

  • หลานคนหนึ่งของเฮียตี๋ จึงอาสาปีนหน้าต่างเข้าไปปลดล็อกประตูบ้าน จึงทำให้ทุกคนที่ออกันอยู่ด้านนอกสามารถเดินเข้าไปในบ้านได้ แต่เมื่อเข้าไปก็ไม่พบว่ามีใครอยู่ จนกระทั่งเดินไปที่ห้องนอนของแม่เฮียตี๋ และพบว่า ประตูปิดล็อกจากด้านใน มีไอเย็นจากแอร์ลอดออกมาด้านนอกเล็กน้อย และที่สำคัญ มีกลิ่นเหม็นเน่าคลุ้งออกมาด้วย

  • ญาติและเพื่อนของครอบครัวเฮียตี๋ รู้สึกผิดปกติ จึงหารือกันว่าสมควรพังประตูเข้าไปดูให้รู้แจ้ง และเมื่อประตูถูกเปิดออก ภาพที่ทุกคนไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น

  • ศพคนทั้ง 5 และสุนัขอีก 6 นอนเรียงรายกระจายอยู่ทั่วทั้งพื้นที่ห้องนอน โดยมีไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศปกคลุมอยู่ทั่วทั้งห้อง

  • ภายในห้องพบโทรศัพท์ iPhone บันทึกข้อความในโน้ต โดยบันทึกไว้สองครั้งในวันที่ 12 และ 16 ก.พ.63 มีใจความสำคัญ ทำนองว่า ชีวิตหมดหนทางแล้ว ขอจากไปพร้อมกันเลยแล้วกัน

  • ผลชันสูตรของแพทย์ระบุว่า ครอบครัวของผู้เสียชีวิตทั้งหมดสูดดมสารพิษเข้าสู่ร่างกายในปริมาณที่มาก ซึ่งส่วนใหญ่คนที่เสียชีวิตตามธรรมชาติ ทั่วไปแผ่นหลังจะมีเลือดตกสีดำคล้ำ แต่ถ้ามีสารพิษเข้าสู่ร่างกายที่แผ่นหลังจะมีเลือดตกเป็นสีแดงสด จึงสอดคล้องกับหลักฐานทางนิติเวชในที่เกิดเหตุ
  • ส่วนสาเหตุที่เฮียตี๋ตัดสินใจกระทำเช่นนี้ พ.ต.อ.ภาคภูมิ ปราบศรีภูมิ ผกก.สภ.เมืองพิษณุโลก เปิดเผยว่า จากการสอบปากคำผู้เกี่ยวข้อง ได้ข้อมูลว่า เฮียตี๋กู้เงินจากแหล่งเงินกู้นอกระบบเป็นจำนวนกว่า 10 ล้านบาท และมีการเสียดอกเบี้ยต่อเดือนถึงหลักแสน
  • ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เฮียตี๋หมุนเงินไม่ทัน เพราะมีธุรกิจที่ต้องรับผิดชอบหลายสิ่ง อาทิ เต็นท์รถยนต์มือสอง สถานตรวจสภาพรถเอกชน ร้านกาแฟ ธุรกิจส่งน้ำแข็ง ดังนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงมุ่งไปที่ประเด็นการฆ่าตัวตายจากปัญหาหนี้สิน

  • ขณะเดียวกันพ่อของเฮียตี๋ ไม่ปักใจเชื่อถึงสาเหตุการตายของลูกชายและครอบครัว โดยมองว่า เหตุน่าสลดนี้อาจมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง และการที่จะมาบอกว่าลูกชายติดหนี้นับ 10 ล้านบาท ตนไม่เชื่อแต่อย่างใด ดังนั้น ควรมีการผ่าพิสูจน์จากแพทย์นิติเวชให้ชัดเจนอีกครั้ง เนื่องจากลูกสาวก็จบปริญญาโท จากลอนดอน ส่วนลูกชายก็จบเตรียมทหาร ตนคิดว่าไม่น่าจะคิดสั้นเช่นนี้.

ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง

ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0