เมื่อวันที่ 14 พ.ย. วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท.) จัดเสวนา “เทอร์มินัล 2 ตัดแปะ หายนะ … สุวรรณภูมิ” มีรศ.ดร. สมเจตน์ ทิณพงษ์ อดีตกรรมการผู้จัดการ บริษัทท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด (บทม.) และนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ร่วมในการเสวนา
เผยทอท.พูดไม่หมด
รศ.ดร.สมเจตน์ กล่าวว่า ที่บมจ.ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) อ้างว่าองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) มีข้อดำริให้สร้างอาคารผู้โดยสารหลังที่ 2 (เทอร์มินัล 2) ในตำแหน่งที่ ทอท. ต้องการเมื่อปี 2554 เป็นการพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว เพราะ ICAO แนะนำให้สร้างในกรณีที่สนามบินสุวรรณภูมิเป็น”สนามบินเดี่ยว (Single Airport)”ของประเทศ แต่ปัจจุบันประเทศไทยมีสนามบินหลัก 2 แห่งคือที่สุวรรณภูมิและดอนเมือง และรัฐบาลกำลังมีแผนพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาตามนโยบายอีอีซียกขึ้นมาเป็นสนามบินหลักแห่งที่ 3 ด้วย จึงเป็นการพูดไม่หมด
และ ICAO ยังแนะนำให้สร้างเพื่อรองรับผู้โดยสารภายในประเทศ (Domestic) เป็นหลัก ถ้าหากมีการสร้างจริง รู้หรือไม่ว่า จะต้องมีรันเวย์เพิ่มอีกกี่รันเวย์ แล้วจากผังรวม รันเวย์จะอยู่เลยนอกเขตสนามบิน ซึ่งจะต้องมีการถมคลองใกล้เคียง เพื่อทำรันเวย์เพิ่มอีก และหากจะยึดตามคำแนะนำของ ICAO เดิมเมื่อปี 2554 จะต้องสร้างให้เสร็จก่อนปี 2558 ถือเป็นคนละเรื่องแล้ว
“เนื้อหาที่ ICAO ส่งมามีถึง 200 กว่าหน้า ต้องอ่านให้ครบว่าเขาเขียนอะไรไว้ ถ้าเอาความจริงมาพูดบางส่วนก็ถือว่าโกหก ต้องเอาความจริงทั้งหมดมาพูดกัน การจะขยายสนามบินคุณต้องตอบให้ได้ว่า Air Capacity เป็นยังไง? การจราจรในสนามบินเป็นยังไง? ไม่งั้นไม่ต้องขยาย สนามบินสุวรรณภูมิที่เกิดขึ้นได้ไม่ใช่เพราะความเห็นมาจากฐานของความรู้และความจริงเป็นที่สุด”
ไม่ทำตาม Master Plan เดิม
ด้านนายสามารถ กล่าวว่า ใน Master Plan เมื่อปี 2536 ซึ่งมีส่วนร่วมในการจัดทำ ไม่มีกำหนดตัวเทอร์มินัล 2 หลักๆกำหนดให้มีเทอร์มินัล 2 อาคาร คือด้านฝั่งมอเตอร์เวย์กับฝั่งถ.บางนา-ตราด เท่านั้น มีรันเวย์ 4 เส้น ด้านตะวันตก 2 เส้น และด้านตะวันออก 2 เส้น ปัจจุบันมีเทอร์มินัล 1 และรันเวย์ 2 เส้น ซึ่งมีศักยภาพรองรับผู้โดยสารได้ 45 ล้านคน/ปี หากพัฒนาตาม Master Plan เดิม จะเพิ่มศักยภาพรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 100 ล้านคน/ปี
ในสนามบินสุวรรณภูมิมีพื้นที่ว่างอยู่อีก 20,000 ไร่ การอ้างว่าสามารถพัฒนา เพื่อรองรับผู้โดยสารได้ 150 ล้านคน/ปี ตามที่ ทอท.กล่าวนั้นจึงไม่จริง เพราะหากจะรองรับขนาดนั้น ต้องสร้างรันเวย์เพิ่มอีก 6 เส้นทอท.สามารถบริหารโดยถั่วเฉลี่ยไปสนามบินอู่ตะเภาและดอนเมืองได้ ซึ่งเมื่อรวม 3 สนามบินแล้วจะมีศักยภาพรองรับผู้โดยสารได้ 200 ล้านคน/ปี
การพัฒนาสนามบินตาม Master Plan เดิม จะต้องพัฒนาสองข้างของเทอร์มินัล 1 ก่อนคืออาคารเทียบเครื่องบินรองที่ 1 และ 2 ด้านตะวันออก ซึ่งผ่าน EIA และคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติโครงการพร้อมกรอบงบประมาณแล้ว แต่ยังไม่ทำ เอาไปรวมในเฟสต่อไปแทน แล้วจะพัฒนาเทอร์มินัล 2 ก่อนให้เสร็จภายในปี 2565 หรือไม่ถึง 3 ปีนับจากนี้แทน
ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย เพราะแบบก่อสร้างยังไม่มี EIA ของโครงการก็ยังไม่ผ่าน มีปัญหาอีกมาก และตัวเลขที่วางไว้ว่าจะรับความจุ 30 ล้านคน/ปีก็เป็นไปไม่ได้ เพราะหลุมจอดมีเพียง 4 หลุมมีไม่เพียงพอ และเมื่อสร้างเสร็จแล้ว ผู้โดยสารจะไม่สามารถเช็กอินและขึ้นเครื่องบินบริเวณนี้ได้ทั้งหมด ต้องไปขึ้นเครื่องหรือเช็กอินที่อาคารเทียบ 1 อยู่ห่างออกไป 2 กม. ต้องมีรถไฟฟ้าไร้คนขับ (APM) คอยรับส่ง อีกทั้งอยู่ไกลจากรันเวย์ของสนามบินด้วย ยังไม่กับการทับซ้อนกับโครงการมอเตอร์เวย์ 2 ชั้น ของกรมทางหลวง (ทล.) อีก
ส่วนการอ้างคำแนะนำ ICAO ปี 2554 ก็พูดจริงครึ่งเดียว เพราะ ICAO ให้ทำเมื่อมีสนามบินสุวรรณภูมิเป็นสนามบินหลักเดียวของประเทศ (Single Airport) และให้ใช้กับผู้โดยสารภายในประเทศเท่านั้น ที่ ICAO แนะนำคือ ให้ขยายเทอร์มินัล 1 ทำได่้ยาก แต่สภาวิชาชีพต่างๆเคยแนะนำแล้วว่า สามารถทำได้ ซึ่ง ทอท. ก็ได้จ้างผู้ออกแบบเมื่อปี 2556 แต่ยังไม่ดำเนินการก่อสร้าง
นอกจากนี้ ยังมีข้อความจาก ICAO ซึ่งตอบกลับมาเมื่อ พ.ย.2561 ด้วยว่า คำแนะนำเมื่อปี 2554 ถือว่าล้าสมัยไปแล้ว เพราะสถานการณืเปลี่ยนไป ถ้าจะให้ ICAO มีความเห็น จะต้องจ้าง ICAO ศึกษาใหม่ทั้งหมด ซึ่งทอท.ไม่ได้เปืดเผยประเด็นนี้
คำแนะนำของตนคือ ให้ขยายเทอร์มินัล 1 ด้านตะวันออก ตามด้วยฝั่งตะวันตก จะใช้เวลาไม่เกิน 3 ปีเสร็จหรือปี 2565 รองรับผู้โดยสารได้เพิ่มเป็น 75 ล้านคน/ปี ไล่ทันจำนวนผู้โดยสารที่ ทอท.ประเมินไว้ที่ 73 ล้านคน/ปีในอีก 3 ปีข้างหน้า ส่วนเทอร์มินัล 2 มีกำหนดเสร็จปี 2568 จะรับผู้โดยสารได้รวม 75 ล้านคน/ปี แต่ไม่ทันคาดการณ์จำนวนผู้โดยสารที่ทอท.ประเมินในปี 2568 ซึ่งจะมีผู้โดยสารที่ 82 ล้านคน/ปี
