โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

สงครามการค้าครั้งใหม่: ตายเป็นเบือ

Money2Know

เผยแพร่ 21 พ.ค. 2562 เวลา 08.35 น. • money2know - เงินทองต้องรู้
สงครามการค้าครั้งใหม่: ตายเป็นเบือ

การประกาศสงครามการค้าครั้งใหม่ระหว่างสหรัฐ-จีน ไม่ว่าจะมาจากเหตุใด แต่ผลกระทบย่อมเกิดขึ้นในวงกว้าง หลังจากโลกเปิดการค้าเสรีมายาวนานหลายสิบปี ก็ต้องมาสะดุดลงจากยุคสมัยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทั้ง ๆที่ สหรัฐมีบทบาทเป็นตัวตั้งตัวตีระบบการค้าเสรี

ขณะนี้มีการประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้น ทั้งที่เกิดขึ้นจริงและจะเกิดขึ้นในอนาคต บทความเรื่อง"สงครามการค้าครั้งใหม่: ใครได้ ใครเสีย?" โดยนายสุพริศร์ สุวรรณิก ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) มีมุมมองน่าสนใจ ดังนี้

ย่างเข้ารุ่งอรุณของวันศุกร์ที่ 10 พ.ค. ที่ผ่านมา การปรับขึ้นอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากจีน มูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ สรอ. (ประมาณกว่า 6.3 ล้านล้านบาท) จากเดิม 10% เพิ่มเป็น 25% ตามที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ทวิตข้อความขู่ไว้ตั้งแต่ต้นสัปดาห์อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ได้เริ่มมีผลบังคับใช้จริง เพราะเห็นว่าการเจรจาไม่คืบหน้าเท่าที่ควร นับเป็นการจุดชนวนให้ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนปะทุขึ้นมาใหม่อีกครั้ง หลังจากก่อนหน้าดูเหมือนจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะได้ข้อตกลงทางการค้าระหว่างกัน บางขุนพรหมชวนคิดวันนี้จึงอยากชวนท่านผู้อ่านมาวิเคราะห์กันว่า สงครามครั้งนี้ใครจะได้ ใครจะเสีย?

ก่อนอื่นต้องทราบก่อนว่า สินค้าจีนที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีในครั้งนี้ มีจำนวนทั้งหมด 5,745 รายการ หรือคิดเป็นประมาณ 40% ของมูลค่าสินค้าที่สหรัฐฯ นำเข้าจากจีน โดยเป็นกลุ่มสินค้าเดียวกันกับที่โดนภาษีนำเข้าที่ 10% ไปแล้ว คือมีทั้ง 1) กลุ่มสินค้าทุน (capital goods) เช่น เครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า 2) สินค้าขั้นกลาง (intermediate goods คือ สินค้าที่นำไปผลิตต่อ) เช่น ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์และรถยนต์ และ 3) สินค้าขั้นสุดท้าย (final goods คือ สินค้าที่นำไปอุปโภคบริโภค) เช่น เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย… แต่แค่นี้ยังไม่พอ! สหรัฐฯ ยังกำหนดรายชื่อสินค้าเพื่อเตรียมการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในส่วนที่เหลืออีกราว 3 แสนล้านดอลลาร์ สรอ. (ประมาณกว่า 9.5 ล้านล้านบาท) ครอบคลุม 3,805 รายการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสินค้าทุนและสินค้าขั้นสุดท้าย

เห็นอย่างนี้แล้ว ถามว่าใครจะเสียประโยชน์จากการขึ้นอัตราภาษีบ้าง นักวิเคราะห์หลายสำนักชี้ให้เห็นว่า ผู้เสียประโยชน์กลับกลายเป็นประชาชนชาวอเมริกันและธุรกิจในสหรัฐฯ เสียเอง เนื่องจากชาวอเมริกันต้องซื้อสินค้าในราคาที่แพงขึ้น โดยเฉพาะสินค้าขั้นสุดท้ายที่จำเป็นสำหรับอุปโภคบริโภค ขณะที่ธุรกิจต้องแบกรับต้นทุนจากสินค้าทุนและสินค้าขั้นกลาง โดยยังไม่สามารถหาตลาดอื่นทดแทนจีนได้ทั้งหมดในระยะเวลาอันสั้น ส่วนหนึ่งเพราะผู้ส่งออกจีนไม่ได้ปรับลดราคาสินค้าลง ต่างจากที่นายทรัมป์ ได้เคยกล่าวมาตลอดว่า จีนจะต้องจ่ายและแบกรับภาษีดังกล่าว

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์บางสำนักเห็นว่า หากมองในระยะยาว ธุรกิจจีนย่อมได้รับความเสียหายเช่นกัน ส่วนหนึ่งเพราะเมื่อถึงเวลานั้น สหรัฐฯ อาจสามารถนำเข้าสินค้าจากตลาดอื่นทดแทนสินค้าจีนได้มากขึ้น

ทางด้านจีนตอบโต้สหรัฐฯ กลับอย่างทันควัน ด้วยการประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ มูลค่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ. (ประมาณ 1.9 ล้านล้านบาท) ครอบคลุมสินค้า 5,142 รายการ โดยจะเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 1 มิ.ย. 2019 และสินค้าส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าทุนและสินค้าขั้นกลาง ซึ่งอาจลดผลกระทบต่อผู้บริโภคในจีนได้บ้างเพราะมีสินค้าขั้นสุดท้ายเป็นส่วนน้อย

แต่แน่นอนว่า สงครามครั้งนี้จะส่งผลลบต่อทั้งสองฝ่าย และยังจะขยายผลต่อไปสู่การค้าโลก การชะลอลงของเศรษฐกิจโลก และความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่แย่ลง

เมื่อหันกลับมามองไทย ถามว่าไทยได้หรือเสียประโยชน์? โดยเบื้องต้นประเมินว่า ไทยอาจเสียมากกว่าได้ประโยชน์ คล้ายกับประเทศอื่นๆ ที่มีความเชื่อมโยงกับต่างประเทศสูง กล่าวคือ จะเสียประโยชน์จากการส่งออกที่ชะลอลงตามการชะลอของเศรษฐกิจโลก และผลของ supply chain effect โดยรวม เพราะไทยเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตที่ส่งไปจีน

แม้ว่าไทยอาจได้ประโยชน์จากการส่งออกทดแทนในสหรัฐฯ และจีน (trade diversion) เช่น สหรัฐฯ โยกคำสั่งนำเข้าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จากไทยมากขึ้น และไทยอาจได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตจากจีน (investment diversion) มายังไทยเพื่อเลี่ยงมาตรการภาษี

แต่อย่าลืมว่า ยังมีประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคที่พร้อมจะแข่งขันกับไทยเพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากจีนด้วย เช่น เวียดนาม จึงไม่ควรนิ่งนอนใจในประโยชน์ที่จะได้รับมากนัก

ซุนวูเคยกล่าวไว้ว่า “ไม่มีชาติใดที่จักได้รับผลประโยชน์จากการทำสงครามระยะยาว”…เพราะขึ้นชื่อว่าสงครามแล้ว ย่อมไม่เกิดประโยชน์แก่ฝ่ายใดทั้งสิ้น!

บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0