โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ศาลรัฐธรรมนูญซัก “ทีมธนาธร” พิรุธเพียบ! เรื่องโอนหุ้นสื่อ

ไทยรัฐออนไลน์ - Politics

อัพเดต 19 ต.ค. 2562 เวลา 01.53 น. • เผยแพร่ 18 ต.ค. 2562 เวลา 22.30 น.
ภาพไฮไลต์
ภาพไฮไลต์

อ้างโอน-กันเอง โดยไม่ได้ประชุมเพราะทุกคนยุ่ง! ฝ่ายค้านถล่มงบกลาโหมซื้ออาวุธ

งามหน้าสภาฯไทย “ชวน” อบรม ส.ส.สวดห้องประชุมสภาฯไม่ใช่ห้องสัมมนา ห้ามเอาอาหารมากิน ทิ้งขยะเกลื่อนหลังเลิกประชุม พท.ถล่มต่อจัดงบฯปี 63 ไร้ทิศทางไม่ทันโลก จวกจากรัฐบาล คสช.ถึงรัฐบาล “ลุงตู่” ละเลง 7.23 หมื่นล้าน ซื้ออาวุธแจกกองทัพพรึ่บทั้งรถถัง-เรือดำน้ำ-ฮ.-แบล็กฮอว์ก-รถหุ้มเกราะ-เครื่องบินขับไล่ “ศิรสิทธิ์” รับไม่ได้หั่นงบฯแก้ปากท้องโปะเพิ่มงบฯกลาโหม 6.2 พันล้าน “บิ๊กช้าง” อ้างใช้เท่าที่จำเป็นเน้นซ่อมให้ใช้งานได้ “โจ้” เย้ย ศก.ซบหนักเสี่ยเช่าออฟฟิศสีลมเปิดบ่อน อัด มท.ส่อเอื้อบีทีเอส-สวนทางปราบโกง “บิ๊กตู่” ย้อนแว่วข่าวคนตบทรัพย์รถไฟฟ้า ระบุอาจไม่กู้เงินเต็มเพดาน 4 แสนล้าน ศาล รธน.ไต่สวน “ธนาธร” ถือหุ้นสื่อ จับพิรุธทนายไม่รู้จำนวนหุ้น “เสี่ยเอก” มั่นใจไม่อยากมีผลประโยชน์ทับซ้อนเหมือน “ทักษิณ” แม่ชี้โอนไปกลับหลานชายให้ฟื้นฟูแต่ปิดกิจการ “เมีย” เคลียร์ขึ้นเช็คช้ารอรวมหลายใบ ติดเลี้ยงลูกคนเล็กเพิ่งคลอด ลุ้นระทึก 20 พ.ย. ศาลนัดชี้ชะตา

การอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 วาระแรกวันที่สอง ฝ่ายค้านตอกย้ำโจมตีไปที่การจัดสรรงบฯจัดซื้อยุทโธปกรณ์ของกองทัพเป็นหลัก ขณะที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้อบรม ส.ส.ให้เคร่งครัดข้อบังคับการประชุม โดยตำหนิ ส.ส.นำอาหารมากินและทิ้งขยะเกลื่อนหลังเลิกประชุม

นายกฯลุยงานจิตอาสาก่อนไปสภาฯ

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 18 ต.ค. ที่วัดโสมนัสราชวรวิหาร ถนนกรุงเกษม เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กทม.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม พร้อมนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา คณะรัฐมนตรี (ครม.) และคู่สมรส ประธานวุฒิสภา และประชาชนร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาปรับภูมิทัศน์ ทำความสะอาดศาสนสถาน ถวายพระราชกุศลและน้อมรำลึก เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จากนั้นสักการะพระประธานพระสัมพุทธโสมนัสวัฒนาวดีนาถบพิตร และร่วมกิจกรรมจิตอาสา ทาสีรั้ว กำแพงวัด ปลูกหญ้า ต่อมาเวลา 11.15 น. นายกฯ และภริยาไปลงนามถวายพระพรสมเด็จ พระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่น สุทธนารีนาถ ณ อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

พอใจถกงบฯบรรยากาศดีมาก

พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ถึงภาพรวมวันแรกการประชุมสภาฯพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ว่า บรรยากาศดีมากเลยทุกคนร่วมมือกัน ทุกอย่างล้วนเป็นประโยชน์ เมื่อถามว่ามองว่านายกฯ ควบคุมอารมณ์ปรับลุคอารมณ์ดีขึ้นเยอะ ทำประชุมราบรื่น นายกฯ กล่าวว่าอารมณ์ปกติ กลายเป็นตนทำให้ไม่ราบรื่นหรือไง เดี๋ยวเถอะ ตนก็อดทนฟังในสิ่งที่เป็นประโยชน์ หลายอย่างดีขึ้นและหลายอย่างนำไปปฏิบัติได้ ต้องเตรียมคำตอบ ความรู้และเตรียมอารมณ์ จากนั้นนายกฯขึ้นรถเพื่อเดินทางกลับช่วงเปิดกระจกรถทักทายปรากฏว่า โทรทัศน์ในรถนายกฯกำลังเสนอข่าวนายปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรค อนาคตใหม่ กำลังอภิปราย พ.ร.ก.โอนกำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ฯนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯเห็นจึงแซวว่าเปลี่ยนช่องไหมครับ นายกฯยิ้มพร้อมกล่าวว่า “ชินแล้ว ทำให้ อารมณ์เย็น”

ตอก “สมพงษ์” สั่ง รบ.ทำงบฯใหม่ได้หรือ

ต่อมาเวลา 12.40 น. พล.อ.ประยุทธ์เดินทางมาที่รัฐสภา เข้าร่วมประชุมสภาฯ โดยให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่าให้เกียรติสภาฯ และผู้แทน ไม่ได้เครียดอะไรเลย เมื่อถามว่ากังวลถึงผลโหวตหรือไม่ นายกฯตอบว่า ไม่มีหรอก จะมีอะไรล่ะ เมื่อถามว่านายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และผู้นำฝ่ายค้านระบุให้รัฐบาลไปร่าง พ.ร.บ.งบฯมาใหม่ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อยว่า “เขาสั่งได้เหรอ” เมื่อถามว่าการชี้แจงการแก้ไข ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เมื่อวันที่ 17 ต.ค.เหมือนจะมีหงุดหงิด พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า ก็เป็นทหารเก่าไง ต้องการพูดให้ผู้ใต้บังคับบัญชารู้สึกว่าเราห่วงใยชีวิตของเขา เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายทุกวัน เบี้ยเลี้ยง เงินเดือนไม่ได้มากมายอะไร แต่รักษาบ้านเมืองให้อยู่อย่างสุขสงบประชาชนปลอดภัย จะไปพูดให้เสียหายเสียกำลังใจไม่ได้ ฝ่ายค้านจะเข้าใจสิ่งที่ชี้แจงไปหรือไม่ ต้องไปถามเขาสิจ๊ะ

“สุทิน” เหน็บพัฒนาการ “บิ๊กตู่” ไม่ดีขึ้น

นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวว่า การชี้แจงของ พล.อ.ประยุทธ์ยังเหมือนเดิมอ่านให้จบ ตั้งใจฟังและให้เกียรติสภาฯ แต่ไม่เจตนาสื่อสารให้คนเข้าใจ และยังมีอารมณ์เหมือนเดิม ด้านเนื้อหาสาระและพัฒนาการยังไม่ดีขึ้น ทั้งนี้ ไม่ตกใจการที่พรรคอนาคตใหม่ลงมติไม่อนุมัติ พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพลฯ เคารพเหตุผลกันและกัน เอกภาพของพรรคร่วมฝ่ายค้านไม่เสีย ต้องแยกแยะเรื่อง ไม่ใช่การลอยแพแต่เราไปคิดแทนเขาไม่ได้ เขาอาจมีความสุขที่ได้ทำ

“ปิยบุตร” ไม่ห่วง ส.ส.แหกมติพรรค

นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค อนาคตใหม่ กล่าวว่า หลังจากนี้ต้องไปว่ากันในพรรคและกรรมการบริหารพรรค ต้องยืนยันว่ามติพรรคที่ 70 เสียงของ ส.ส.ที่โหวตไม่เห็นด้วยมาจากการประชุมร่วมกัน 3 วัน ทั้งตอนไปสัมมนาต่างจังหวัดและกรุงเทพฯ มีการอภิปรายแลกเปลี่ยนกันอย่างหนักและได้มตินี้มา เราออกแบบพรรคอนาคตใหม่ พยายามสร้างหลักประชาธิปไตยภายในพรรค ก่อนโหวตไม่ได้หารือกับพรรคฝ่ายค้าน นี่คือจุดยืนของเรา เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ว่าอาจมี ส.ส.โหวตร่าง พ.ร.บ.งบฯปี 63 สวนมติพรรค นายปิยบุตรกล่าวว่า ขอให้รอดูต่อไปเหตุการณ์ยังไม่เกิด แต่เชื่อมั่นใน ส.ส.อนาคตใหม่ ทุกคนมีพันธะผูกมัดกับประชาชน

“เสรีพิศุทธ์” ย้ำไม่รับงบฯ ผิด ก.ม.

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ให้สัมภาษณ์ถึงจุดยืนของพรรคเสรีรวมไทยว่า พรรคจะประชุมว่าจะลงมติร่าง พ.ร.บ.งบในรูปแบบใด แต่ส่วนตัวเห็นว่าร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวผิดกฎหมายและการลงมติถือว่าผิดรัฐธรรมนูญ ไม่สามารถโหวตได้แต่ก็เคารพและฟังเสียง ส.ส.ในพรรค ยืนยันว่าการพิจารณาของพรรค ไม่เกี่ยวกับภาพรวมพรรคฝ่ายค้าน จะเป็นจุดยืนของพรรคเสรีรวมไทยอะไรที่ไม่ถูกต้องตนร่วมดำเนินการไม่ได้ ยืนยันว่าภายในวันที่ 18 ต.ค.จะมีข่าวใหญ่แน่นอน

“ชวน” อบรม ส.ส.เคร่งครัดข้อบังคับ

ขณะที่การประชุมสภาฯ เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบฯปี 63 วาระแรกเป็นวันที่สอง เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 09.00 น. มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทน ราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม ก่อนเข้าสู่การประชุมนายชวนแจ้งต่อสมาชิกว่าการประชุมเมื่อวันที่ 17 ต.ค.ได้ขอร้องเรื่องข้อบังคับการประชุมไม่ให้นำเครื่องมือสื่อสารใดๆเข้าห้องประชุม ก่อให้เกิดการรบกวน ได้รับความร่วมมือด้วยดี ไม่ใช่เรื่องที่ตนคิดหรือออกข้อบังคับเอง แต่สถานที่ประชุมสภาฯตามข้อที่ 181 ที่ประชุมสภาฯย่อมเป็นที่เคารพและเป็นเขตหวงห้าม บุคคลที่เข้าไปต้องประพฤติตนให้เรียบร้อย มีสัมมาคารวะและต้องแต่งกายตามที่ประธานสภาฯกำหนด บุคคลอื่นที่ไม่ใช่สมาชิกหรือเจ้าหน้าที่เมื่อหมดภารกิจต้องออกนอกสถานที่ ประชุม สมาชิกให้แต่งเครื่องแบบสมาชิกรัฐสภาหรือสากลนิยมหรือชุดพระราชทานหรือชุดตามระเบียบที่ประธานสภาฯกำหนด ขณะนี้ประธานสภาฯยังไม่ได้กำหนดจึงขอร้องพวกเราว่าให้ปฏิบัติตามข้อบังคับ

สวดทิ้งขยะเกลื่อนหลังเลิกประชุม

นายชวนกล่าวต่อว่า อีกประการหนึ่งได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่นักการที่เข้ามาทำความสะอาดห้องประชุมหลังเลิกประชุม พบว่าในห้องประชุมมีเศษอาหาร เศษภาชนะห่ออาหาร เครื่องดื่มเต็มไปหมด เข้าใจว่าทุกคนอาจเข้าใจผิด แต่ขอเรียนว่าห้องประชุมไม่ใช่ห้องสัมมนา และตามข้อบังคับที่ 181 สถานที่ประชุมของสภาฯ เป็นที่เคารพ เป็นเขตหวงห้าม ดังนั้น ขอพวกเราเพราะเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว แต่เชื่อว่าไม่มีเจตนา แต่อาจเข้าใจว่าเหมือนห้องสัมมนาทั่วไปที่จะเอาอะไรมากิน แต่ที่นี่ต้องไม่มี หากจะรับประทานอะไร กรุณาออกนอกห้อง เพื่อให้มีความเป็นมาตรฐาน ขอความร่วมมือพวกเราด้วย

พท.สับจัดงบฯไร้ทิศทางไม่ทันโลก

จากนั้นนายไชยา พรหมา ส.ส.หนองบัวลำภู พรรคเพื่อไทย ขึ้นอภิปรายเป็นคนแรกว่าขอให้รัฐบาลใช้งบฯลงทุนให้เกิดประโยชน์กับประชาชน โดยเฉพาะระบบชลประทาน การสนับสนุนเกษตรอินทรีย์ การลงทุนเพื่อเกิดกระบวนการสร้างรายได้ให้ประชาชน เนื่องจากสภาวะสังคมโลกเปลี่ยนไป ประชาชนเสี่ยงตกงาน ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ.งบฯปี 63 วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาทไม่มีทิศทางชัดเจนในการสร้างรายได้หรือกระตุ้นเศรษฐกิจปัญหาใหญ่ของประเทศ จึงขอให้ปรับปรุงและนำกลับเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ

“พิสิฐ” เฉ่งกระทรวงใหม่งบฯน้อยไป

นายพิสิฐ ลี้อาธรรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า เป็นห่วงว่าหากรัฐบาลประเมิน เศรษฐกิจดีเกินไป อาจทำให้การดำเนินนโยบายผิดพลาด รัฐบาลมีเงินค้างท่อ 1 ล้านล้านบาท เป็นงบฯผูกพันที่ ครม.อนุมัติแล้วคิดเป็น 1 ใน 3 ของร่าง พ.ร.บ.งบฯปี 63 ขอให้เร่งรัดการเบิกจ่าย ช่วง 3-4 เดือน เพื่อเยียวยาภาวะเศรษฐกิจไทยไม่ให้ ถดถอย ได้รับข้อมูลจากสำนักงบประมาณพบว่ากระทรวงหลัก เช่น กระทรวงมหาดไทย กลาโหม ยุติธรรม ศึกษาธิการ จะได้รับงบประมาณ 70% แต่กระทรวงใหม่ เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จะได้รับงบ 40-50% สะท้อนว่าระบบ การจัดสรรงบฯยังเป็นรูปแบบเดิม ไม่เกิดประโยชน์ ต่อการใช้งานในกระทรวงใหม่ๆ ขอให้คิดใหม่

ขอ 3 หมื่นล้านยกระดับการศึกษา

น.ส.กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการได้รับงบฯ 368,660 ล้านบาท ไม่ได้สะท้อนการลงทุนด้านการศึกษามีเพียง 6% เท่านั้น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีงบฯมาก แต่เป็นงบฯบุคลากร แต่งบฯสร้างการเรียนรู้ให้เด็กมีน้อยเกินไป ขอเสนอให้เจียดงบกลาง 3 หมื่นล้านบาทมาให้โรงเรียนขนาดเล็กและขนาดกลาง 10,000 แห่ง ที่ควรได้รับเพิ่มโรงเรียนละ 1 ล้านบาท และเพิ่มงบฯลงทุนให้โรงเรียนอาชีวะอีก 1 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้จ่ายการฝึกฝนทักษะ

“ณัฏฐพล” มึนไม่เข้าใจงบฯ ศธ.ซับซ้อน

นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ ชี้แจงว่าช่วง 3 เดือนที่รับหน้าที่ทราบดีถึงปัญหางบประมาณ แต่ยังไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ เป็นระยะเวลาสั้นอาจยังไม่เข้าใจระบบงบฯกระทรวงศึกษาฯแท้จริง แต่ได้กำชับผู้บริหารใช้จ่ายอย่างเหมาะสม มีประสิทธิภาพ หากเปลี่ยนแปลงโครงการในงบฯปี 63 อาจทำให้ต้องคืนงบฯให้กระทรวงคลัง ปัญหาอาหารกลางวันไม่ได้เพิ่มให้เด็กนักเรียนมา 5 ปี ยังอยู่ที่ 20 บาท แต่ที่เสนอให้ปรับเป็น 30 บาทต่อหัว คงไม่สามารถให้ครอบคลุมได้เท่ากันทั้งประเทศได้ โรงเรียนขนาดเล็กอาจต้องการงบฯมากกว่าโรงเรียนขนาดใหญ่ ต้องวิเคราะห์ความจำเป็นความเหมาะสมและยืดหยุ่น ส่วนงบฯด้านการศึกษายอมรับว่าจำเป็นแต่ไม่สามารถขอตอนนี้ได้ กระทรวงศึกษาฯยังมีความซับซ้อนเรื่องงบฯอยู่ แต่การจัดงบฯปี 2564 มั่นใจว่าจะทำงบฯที่เหมาะสมได้

“จุรินทร์” โวผลงานประกันรายได้พืชผล

ต่อมาเวลา 12.00 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ ชี้แจงว่าที่ผู้นำฝ่ายค้านระบุงบฯปี 63 ไม่ได้สนับสนุนสินค้าเกษตร ขอชี้แจงว่ามีนโยบายประกันรายได้เกษตรกรเร่งด่วนพืช 5 ชนิด คือ ข้าว ยางพารา ปาล์ม ข้าวโพด และมันสำปะหลัง เกษตรกรจะมีรายได้ 2 ทาง รายได้หลักการขายพืชผลในราคา ณ เวลานั้น ส่วนที่สองเงินส่วนต่างชดเชย ซึ่งคืบหน้าปาล์มน้ำมันประกันรายได้กิโลกรัมละ 4 บาท สูงสุด 12,000 บาท งวดแรกโอนถึงมือเกษตรกรแล้วตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. เงินส่วนต่างจะให้ 8 งวดต่อปีทุก 45 วัน พร้อมมาตรการเสริมอื่น ข้าวมีประกันชดเชยรายได้ส่วนต่าง ที่ท้วงว่าไม่จ่ายเงินชดเชยให้คนภาคอีสาน สัญญาว่าเมื่อไหร่ราคาข้าวหอมมะลิต่ำกว่าประกันรายได้จะจ่ายเงินส่วนต่างชดเชยให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วม/ภัยแล้ง ถ้าราคาต่ำกว่าประกันจะได้รับเงินชดเชยเช่นเดียวกันและได้เงินช่วยน้ำท่วมหรือภัยแล้งด้วย ยางพาราจะประกัน 3 ชนิด ยางแผ่นกิโลกรัมละ 60 บาท น้ำยางสด 57 บาท ยางก้นถ้วย 23 บาท ไม่เกินครัวเรือนละ 25 ไร่ คนกรีดยางจะได้เงินชดเชยตามสัดส่วน มันสำปะหลังจะนัดประชุม 3 ฝ่ายวันที่ 27 ต.ค.ข้าวโพดนัดแก้ไขเดือน พ.ย.ที่ จ.เพชรบูรณ์ ส่วนผลไม้ จะดูแล ทุเรียนราคาดี ลำไยปีนี้ราคาดีขึ้น ให้ผู้โดยสารหิ้วผลไม้ขึ้นเครื่องได้ฟรีคนละ 20 กิโลกรัมเพื่อถ่ายผลไม้ มะพร้าวน้ำหอมจะพาไปเปิดตลาดที่จีน การส่งออกปีนี้ติดลบ 2.4 จากสงครามการค้าและ Brexist จึงตั้ง กรอ.พาณิชย์ขึ้นมาให้รัฐร่วมมือกับเอกชน

พท.สับ คสช.ถึงลุงตู่ซื้ออาวุธ 7.2 หมื่นล้าน

ต่อมาเวลา 13.30 น. ฝ่ายค้านเริ่มชำแหละงบฯกระทรวงกลาโหมพุ่งเป้าการจัดงบฯจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ อาทิ นายศิรสิทธิ์ เลิศด้วยลาภ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย ระบุยุค คสช.ตั้งแต่ปี 2557 บริหารประเทศโดยไม่มีการตรวจสอบ จัดงบซื้ออาวุธ 72,714 ล้านบาท ข้อมูลจากสื่อจนถึงเดือน ต.ค.62 อาทิ ปี 58 คสช.ซื้อรถถัง VT-4 รวม 28 คัน 4,985 ล้านบาท ปี 59 ซื้อเฮลิคอปเตอร์ Mi17v-s จากรัสเซีย 2 ลำ 1,698 ล้านบาท ขณะที่ประชาชนกำลังเดือดร้อน ยังไม่พอ ยังจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์ Mi17v-s จากรัสเซียต่อในปีเดียวกันเพิ่มอีก 4 ลำ 3,385 ล้านบาท ปี 60 ซื้อรถถัง VT-4 จากจีน 10 คัน 2,017 ล้านบาท ปี 60 ซื้อเฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอว์กจากสหรัฐฯ 4 ลำ และรถถัง VT-4 จากจีนอีก 11 คันกว่าพันล้านบาท สรุปว่ากองทัพซื้อรถถัง 38 คัน 7,002 ล้านบาท รถหุ้มเกราะล้อยาง 34 คัน 2,300 ล้านบาท เฮลิคอปเตอร์ 10 ลำ 8,083 ล้านบาท รวมกองทัพบกซื้ออาวุธ 17,385 ล้านบาท ยังไม่ได้รวมกองทัพเรือซื้อ 42,599 ล้านบาท กองทัพอากาศซื้อ 12,747 ล้านบาท วันที่ 11 ก.ค.62 ครม.อนุมัติให้กองทัพอากาศซื้อเครื่องบินขับไล่ T-50TH จากเกาหลี 8 ลำ 8,800 ล้านบาท เท่ากับว่า 3 เหล่าทัพ ใช้เงิน 72,714 ล้านบาท อย่างนี้จะรับได้อย่างไร วันนี้รัฐบาลชุดใหม่เป็นชุดเดียวกับ คสช.

หั่นงบปากท้องโปะงบ กห. 6.2 พันล้าน

นายศิรสิทธิ์กล่าวว่า เท่าที่อ่านงบฯกลาโหมที่ทำมา ปี 63 เพิ่มขึ้น 6,200 ล้านบาท แต่เมื่อเทียบกับงบฯที่ไปช่วยเหลือเกษตรกร และงบที่ใช้กับชีวิตความเป็นอยู่ประชาชนมีน้อยเหลือเกิน ยิ่งเจ็บปวดที่สุด อยากให้เอางบผูกพันซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์มาซื้อเครื่องจักรช่วยเกษตรกรและประชาชนมากกว่า ขอให้รัฐบาลพิจารณาใหม่

“บิ๊กช้าง” อ้างจัดให้ที่จำเป็นดูแลสวัสดิการ

ด้าน พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ชี้แจงว่า งบฯกลาโหมไม่ได้สูงหรือเพิ่มขึ้นผิดปกติ ที่เพิ่มขึ้นกว่า 6,000 ล้านบาท เพื่อดูแลสวัสดิการข้าราชการ ปรับปรุงที่อยู่อาศัยและซ่อมแซม รวมถึงจัดหาเครื่องมือช่วยเหลือประชาชน ขณะที่งบฯซ่อมปรับปรุงยุทโธปกรณ์ มีเฉพาะปรับปรุงส่วนที่ล้าสมัย ขณะที่การซื้อทดแทนยุทโธปกรณ์ที่ไม่สามารถหาชิ้นส่วนหรือซ่อมแซมได้ เป็นไปตามแผนพัฒนากองทัพ เพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ ยุทโธปกรณ์ในอดีตได้รับสนับสนุนช่วยเหลือจากมิตรประเทศและจัดหาบางส่วน เช่น เฮลิคอปเตอร์ที่ใช้ปัจจุบันอายุ 50 ปีขึ้นไป รถถังบางชนิดอายุใช้งาน 40-50 ปี รถเกราะมีอายุใช้งาน 40 ปี เครื่องบินขับไล่เอฟ 5 อายุการใช้งาน 41 ปี เครื่องบินลำเลียง ซี 130 อายุ
ใช้งาน 40 ปี ยุทโธปกรณ์ที่อายุใช้งานเกิน 30 ปีมียอดรวมคิดเป็นร้อยละ 58 จัดหาเพื่อทดแทนยุทโธปกรณ์ที่ชำรุด ไม่สามารถซ่อมได้มีเพียง 1 ใน 3 ของที่มีทั้งหมด กองทัพยังเน้นการปรับปรุงและซ่อมแซมยุทโธปกรณ์ให้ใช้งานได้ต่อไป ทั้งที่ประเทศต้นกำเนิดไม่ใช้แล้ว แต่จัดหาเท่าที่จำเป็นเพื่อให้สอดคล้องกับการใช้กำลัง

“โจ้” แฉ ศก.ทรุดเสี่ยเช่าออฟฟิศทำบ่อน

นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า 4 เหตุผลที่เห็นว่าร่าง พ.ร.บ.งบฯปี 63 ไม่เหมาะสมคือ 1.ไม่มีวินัยด้านการเงินการคลังตั้งแต่ปี 2557 มีการกู้เงินหนักขึ้นทุกปี 2.ตั้งงบฯเลื่อนลอยเกรงใจทหาร ไม่รู้ว่าเกรงใจ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.จริงหรือไม่ บาง รายการเขียนบรรทัดเดียว สำนักงบประมาณก็อนุมัติให้ 1.6 หมื่นล้านบาท 3.งบฯที่ตั้งไว้ทำไม่ได้จริงวันนี้รัฐบาลใช้งบมหาศาลกระตุ้นเศรษฐกิจและความมั่นคงแต่ไม่เกิดผล อาทิ งบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ตั้งไว้ 122,800 ล้านบาท เอาไปป้องกันปราบปรามลดอาชญากรรม ไม่เชื่อว่าทำได้จริง ตอนนี้ ย่านสีลมซบเซา คนไม่มีเงินเช่าออฟฟิศต้องเปลี่ยนไปเปิดกาสิโน เพื่อนของตนพาไปดูอยู่ตรงถนนธนิยะใต้สถานีรถไฟฟ้าสีลม เดินเข้าไป 300 เมตร อยู่ขวามือ มีคนคอยดูต้นทางที่ทางเข้าบ่อนสีลม ได้ยินว่าเป็นบ่อนของ“เฮียตี้” ขอฟ้องนายกฯไปจัดการ เพราะกำกับดูแล สตช.

อัด มท.ส่อเอื้อบีทีเอส–สวนทางปราบโกง

นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า 4.งบที่ตั้งไว้ไม่ตอบสนองนโยบายปราบทุจริต เช่น เรื่องรถไฟฟ้าบีทีเอส ที่กำลังพิจารณาต่ออายุสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวอีก 40 ปี กระทรวงมหาดไทยตั้งคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (พีพีพี) พิจารณาต่ออายุสัมปทาน ทั้งที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาการต่ออายุสัมปทานรถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีเขียว สภาผู้แทนราษฎร มีมติว่าไม่สมควรให้ต่อ แต่ทราบว่าพีพีพีที่ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานพิจารณาเสร็จแล้วจะให้ รมว.มหาดไทยเสนอนายกฯ ต่อสัมปทาน ดูแล้วน่าจะไม่โปร่งใส รวมถึงการประกวดราคาโครงการสร้างถนนเชื่อมกาญจนาภิเษก-พุทธมณฑล สาย 2 ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ กำหนดสเปกผู้ประมูลต้องมีผลงานไม่น้อยกว่า 450 ล้านบาทย้อนหลัง 10 ปี ยังมีโครงการสร้างถนนสายอ่อนนุช-ลาดกระบัง ที่ล็อกสเปกว่าต้องมีผลงานย้อนหลังใน กทม. 500 ล้านบาท 10 ปี สวนทางนโยบายปราบทุจริต

“บิ๊กป๊อก” ลั่นใครทุจริตต้องติดคุก

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ชี้แจงว่าเรื่องบีทีเอสที่นายยุทธพงศ์อภิปรายไม่มีความเกี่ยวข้องอยู่ในงบฯ ปี 63 ยืนยันว่าการต่อสัญญารถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีเขียว 40 ปี ขณะนี้ยังไม่มีอะไรที่เป็นข้อทุจริต เรื่องนี้มีคณะกรรมการนโยบายพีพีพีพิจารณารับผิดชอบอยู่ ใครอนุมัติต้องรับผิดชอบ ถ้ามีการโกงต้องติดคุก ปิดบังกันไม่ได้ เรื่องนี้สังคมและสื่อต้องรับรู้ ไม่ได้เพิกเฉย ส่วนเรื่องการล็อกสเปกการก่อสร้างถนนกาญจนาภิเษก-พุทธมณฑลสาย 2 และถนนอ่อนนุช-ลาดกระบังนั้นยังไม่ทราบรายละเอียด แต่จะไปสอบสวนหาข้อเท็จจริงให้ หากมีอะไรไม่โปร่งใสจะดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ทั้งวินัยและอาญา กระทรวงมหาดไทยไม่ปล่อยปละละเลยแน่

นายกฯแว่วข่าวตบทรัพย์รถไฟฟ้า

ต่อมาเวลา 13.15 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม ชี้แจงว่า เรื่องรถไฟฟ้าทุกคนทราบอยู่ว่าที่ผ่านมาหลาย 10 ปี มีปัญหา เช่น รถไฟฟ้าสายสีม่วง ตนเข้ามาพยายามเร่งรัดดำเนินการ แก้ไขปัญหาได้ และเร่งรัดพัฒนารถไฟฟ้าอีกหลายสาย เป็นความต้องการของประชาชน เรื่องการกล่าวอ้างว่า มีการทุจริตต่างๆได้ข่าวเหมือนกันว่า มีบางคนไปเรียกรับบริษัทของเขา เดี๋ยวจะหาข่าวว่าเป็นใคร ถ้ามีหลักฐานไปหามาเลยว่าใครเรียกเงิน ตรวจสอบพบจะดำเนินการทั้งสิ้น ให้เข้าใจกันตามนี้ขอให้ประชาชนเชื่อมั่น ที่บอกว่าตนไม่ใส่ใจเรื่องอภิปรายงบฯนั้นเมื่อคืนวันที่ 17 ต.ค.กลับออกจากสภาฯ ตอนตี 1 ถึงบ้านตี 2 ยังได้ยินเสียงพวกท่านแว่วอยู่ในหัวเลย

แนะให้แจ้งจับบ่อนอย่าถ่ายแต่รูป

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า เรื่องที่บอกว่ารัฐบาลกู้เงินจำนวนมากนั้นถ้านับเวลา 3-5 ปีของรัฐบาลตน รวมยอดย้อนไป 10 ปีแล้วกู้น้อยกว่า มีรัฐบาลเดียวที่ไม่อยากเอ่ยนามที่ทำงบฯ แบบสมดุลได้ เพราะไอเอ็มเอฟไม่ให้ทำ เรื่องเงินคงคลังที่ถามกันว่า เหตุใดไม่เอามาใช้พูดแบบนี้ไม่ได้ กระทรวงการคลังมีเงินสำรองจ่ายเก็บไว้ก้อนหนึ่ง เวลาจะใช้คณะกรรมการต้องอนุมัติ ส่วนข้อมูลบ่อนที่สีลมอย่าแค่ถ่ายรูปให้แจ้งความกับตำรวจเลย จะตรวจสอบเองแจ้งเดี๋ยวนั้นจะไปเดี๋ยวนั้น ขณะนี้สั่งให้สอบสวนแล้ว ขอบคุณที่แนะนำ ขอให้ทุกคนเชื่อมั่นเป็นหัวหน้ารัฐบาล

“บิ๊กตู่” ระบุอาจไม่กู้เต็ม 4 แสนล้าน

กลับมาที่ห้องประชุมสภาฯ เมื่อเวลา 15.05 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯลุกขึ้นชี้แจงอีกครั้งว่ายุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ปรับเปลี่ยนได้ทุก 5 ปี หรือเมื่อมีสถานการณ์ภายในและนอกประเทศ เขียนเป็นกรอบใหญ่ 6 ด้านครอบคลุมอยู่แล้ว ส่วนวงเงินกู้ 4 แสนล้าน ถ้าเก็บภาษีได้ตามเป้าหรือเกินเป้า ไม่จำเป็นต้องกู้เต็มวงเงิน แต่ที่ต้องระวังคือขีดความสามารถชำระหนี้ สิ่งที่แต่ละคนเสนอเข้ามาให้ตัดตรงนั้นใส่ตรงนี้ ถ้าคิดแล้วคงเกินวงเงิน 3.2 ล้านล้าน ยืนยันไม่ได้ให้งบฯตามใจ ต้องเกลี่ยให้ทุกจังหวัด เรื่องเร่งด่วนใช้งบกลางต้องผ่าน ครม.มีแผนงาน ไม่ใช่มีกระดาษแผ่นสองแผ่นไม่อนุมัติ พ.ร.บ.งบฯเปลี่ยนไปแล้วไม่ใช่จะแปรญัตติในวาระ 2 เอาไปทำอะไรก็ได้

ขยี้ผูกพันซื้ออาวุธ 7 ปี 8.7 หมื่นล้าน

ช่วงเย็น ส.ส.ฝ่ายค้านหลายคนพากันอภิปรายงบประมาณกระทรวงกลาโหม เน้นการจัดสรรงบฯจัดซื้ออาวุธของกองทัพโดยไม่จำเป็นและมีราคาแพง ไม่แจกแจงรายละเอียด พร้อมเรียกร้องให้ตัดงบฯของกระทรวงกลาโหมไปจัดสรรเป็นงบฯแก้ปัญหาการเกษตร การศึกษา สาธารณสุข อาทิ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กระทรวงกลาโหมตั้งงบฯผูกพันปี 2562- 2569 ไว้สูงถึง 87,000 ล้านบาท สร้างหนี้ให้คนไทยล่วงหน้าถึง 7 ปี และยังพบว่าการจัดซื้อแพงเกินจริง อาทิ เฮลิคอปเตอร์ AH 6I จากสหรัฐฯ ปี 2557 ซาอุดีอาระเบียซื้อลำละ 300 ล้านบาท แต่ไทยซื้อปี 2562 ลำละ 528 ล้านบาท แพงกว่าถึง 228 ล้านบาท ทร.จัดซื้อเรือลำเลียงพลสหรัฐฯ โดยไม่จำเป็น ลำละ 6,200 ล้านบาท โดยราคาตลาดอยู่ที่ 4,000 ล้านบาท ทั้งที่มีเรือหลวงอ่างทองยังใช้งานได้ดีอยู่

ขู่เคลียร์ไม่ได้ พ.ย.เจอศึกซักฟอกแน่

นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า งบด้านความมั่นคงจัดสรรเป็นค่าตอบแทนของนายพลมากถึง 70% มีเพียง 30% ใช้สำหรับงาน ขณะนี้นายพลมีจำนวนมาก มีการเพิ่มตำแหน่งพิเศษ คาดว่าจะมีค่าตอบแทนเดือนละ 7,000 ล้านบาท หรือปีละ 8 หมื่นล้านบาท สมัยนายชวน หลีกภัย และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกฯมีแนวคิดลดขนาดกองทัพ แต่ปัจจุบันมาผิดทางสิ่งที่นายกฯและ รมช. กลาโหม ต้องตอบให้หายข้องใจคือปัญหางบรั่วไหล ทั้งเรือเหาะตรวจการณ์ 350 ล้านบาท จอดมากว่า 8 ปีขึ้นบินเพียง 20 เที่ยวแล้วตก โครงการจีที 200 นายกฯ ต้องชี้แจงให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะเจอการอภิปรายไม่ไว้วางใจช่วงเดือน พ.ย.แน่นอน

บี้ “ราชาเงินผ่อน” หั่นทิ้ง 2 หมื่นล้าน

พล.ท.พงศกร รอดชมภู ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรค อนาคตใหม่ กล่าวว่า ที่ผ่านมาการเบิกจ่ายงบฯกลาโหม ล่าช้าใช้ไม่ทันหรือเรียกว่างบฯล้น ถ้าปรับลดงบฯผูกพันลงบางส่วน จะนำเงินไปช่วยภาคการเกษตรและสาธารณสุขได้ คำว่าผูกพันข้ามปีหมายความว่าการเป็น “ราชาเงินผ่อน” ทำให้ไม่สามารถถูกปรับลดงบฯได้ ส่วนตัวอยากให้เพิ่มงบฯให้กองทัพอากาศเพื่อพัฒนาอากาศยานไม่ควรเน้นไปที่รถถัง เพราะการรบควรครองความเป็นเจ้าอากาศก่อนการรบโดย รถถัง ขอให้ตัดงบฯกลาโหม 10% หรือ 20,000 ล้านบาท ไปให้กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงสาธารณสุขและพัฒนาสวัสดิการอื่นที่ขาดแคลน

ศาล รธน.ไต่สวนคดี “ธนาธร” ถือหุ้นสื่อ

เมื่อเวลา 08.00 น. ที่ศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนัดไต่สวนพยานในคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้วินิจฉัยความเป็น ส.ส.ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (6) ประกอบมาตรา 98 (3) เนื่องจากถือหุ้นสื่อบริษัทวี-ลัค มีเดียเข้าลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.หรือไม่ หลังมีมติรับคำร้องเมื่อวันที่ 23 พ.ค. และสั่งนายธนาธรหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีบรรดาผู้สื่อข่าวทั้งไทยและต่างประเทศจำนวนมากมาเกาะติดทำข่าว สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญกันพื้นที่รอบสำนักงานฯ ให้เข้าออกทางเดียวเพื่อรักษาความปลอดภัย มีเจ้าหน้าที่ตำรวจพื้นที่ บก.น.2 รวม 40 นายมาดูแลความเรียบร้อย ทั้งพยานและสื่อมวลชนต้องแลกบัตรผ่านเข้าออกพื้นที่

แม่-เมีย-หลานชักแถวให้ปากคำ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลได้นัดไต่สวนพยาน 10 ปาก ได้แก่ 1.นายธนาธร 2.นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มารดา 3.นางรวิพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ภรรยา 4.นายปิติ จรุงสถิตย์พงศ์ หลานชายนางสมพร 5.นายทวี จรุงสถิตย์พงศ์ หลานชายนางสมพร 6.น.ส.ลาวัลย์ จันทร์เกษม พนักงานบริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด 7.น.ส.กานต์ฐิตา อ่วมขำ พนักงานบริษัท วี-ลัค มีเดีย 8.นายณัฐนนท์ อภินันท์ ทนายความ 9.นายพิพัฒพงศ์ รุจิตานนท์ ทนายความ 10.นายชัยสิทธิ์ กล้าหาญ คนขับรถของนายธนาธร โดยนางสมพรและนางรวิ–พรรณ แม่และภรรยานายธนาธร มาถึงตั้งแต่เวลา 07.40 น. มีพยาบาลมาคอยดูแลนางสมพรด้วย โดยมีกลุ่มผู้สนับสนุนนายธนาธรเดินทางมาให้กำลังใจ ส่วนนายธนาธรมาถึงเวลา 08.30 น. ได้กล่าวอย่างมั่นใจว่าเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ในหลักฐาน ถ้าไปดูเอกสาร จนถึงทุกวันนี้ไม่มีใครมีพยานหลักฐานอะไรมาหักล้างสิ่งที่เราแสดงได้ ต้องดูว่าศาลฯ จะมีอะไรมาหักล้าง ได้ส่งเอกสารหลักฐานต่างๆให้ศาลหมดแล้ว จึงยืนยันในความบริสุทธิ์ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แม่และภรรยาเตรียมตัวพร้อมอย่างดี

ถูกซักโอนหุ้น 8 ม.ค.รับฟังได้หรือไม่

ต่อมาเวลา 09.00 น. ศาลเริ่มต้นอธิบายถึงการไต่สวนพยานทั้ง 10 ปากว่าต้องการทราบว่า การโอนหุ้นบริษัทวี-ลัค มีเดียของนายธนาธรให้กับนางสมพร เกิดขึ้นในวันที่ 8 ม.ค.62 ตามที่นายธนาธรอ้างเป็นข้อเท็จจริงที่รับฟังได้หรือไม่ พยานทั้ง 10 ปากเป็นทั้งพยานที่รู้เห็นคือผู้อยู่ในเหตุการณ์กับพยานที่เกี่ยวข้องคือพยานที่จะไปดำเนินการต่อหลังโอนหุ้น จากนั้นศาลได้เบิกตัวนายธนาธรขึ้นเป็นพยานปากแรก นายธนาธรยืนยันว่าไม่เคยเข้าไปบริหารหรือทำธุรกรรมใดๆในบริษัท เป็นเพียงผู้ถือหุ้น หลังจดทะเบียนตั้งบริษัทเป็นเรื่องของกรรมการบริหารจะจัดการ จากนั้นศาลซักถามเหตุผลการกำหนดให้วันที่ 8 ม.ค.62 เป็นวันโอนหุ้นทั้งที่มีภารกิจหาเสียงใน จ.บุรีรัมย์ นายธนาธรกล่าวว่า เดิมวางแผนจะนั่งเครื่องกลับจาก จ.อุบลราชธานี แต่เวลาที่ใช้เดินทางไม่ต่างกันมาก เพราะต้องไปขึ้นเครื่องที่อุบลฯ โดยนั่งรถยนต์มากับนายชัยสิทธิ์ กล้าหาญ คนขับรถเพียง 2 คน ไม่มีพยานอื่นเดินทางกลับมาด้วย และนัดหมายกับทนายความไว้แล้วในเวลา 17.00 น.

ขึ้นเงินเช็คช้าโบ้ยไม่เดือดร้อนการเงิน

นายธนาธรกล่าวว่า ประเด็นที่ถูกซักถามว่าเหตุใดโอนขายหุ้นในเดือน ม.ค.แล้วเหตุใดจึงนำเช็คไปขึ้นเงินเดือน พ.ค. ตนไม่เคยถามและไม่เคยรู้ เพราะมอบหมายให้ภรรยาเป็นผู้จัดการเรื่องการเงินของครอบครัวทั้งหมด อาจเป็นเพราะครอบครัวของตนไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน บางทีเช็คก็ติดเสื้อส่งไปซักแห้งก็ส่งกลับมา เรื่องการนำเช็คไปขึ้นเงินช้าเป็นเรื่องที่ภรรยาจะไปจัดการ จากนั้นฝ่าย กกต.ผู้ร้องได้ซักถามถึงบัญชีเอกสารที่อ้างส่งศาลฯ ไม่มีงบฯ การเงินบริษัทวี-ลัค มีเดีย นายธนาธรตอบอย่างมีอารมณ์ว่า จำไม่ได้เพราะเอกสารเยอะมาก และไม่เห็นว่าการส่งหรือไม่ส่งจะเป็นสาระสำคัญในคดี เช่นเดียวกับเอกสารโอนหุ้นซึ่งติดอากรแสตมป์ลงวันที่ 8 ม.ค.62 เป็นข้อกฎหมายที่ตนไม่ทราบเช่นกัน หากศาลต้องการหลักฐานไปตรวจสอบเพื่อนำมายืนยันได้

โวยนั่งรถกลับ กทม.ตอบสื่อผิดหนเดียว

เมื่อถูกซักถามว่าเหตุใดจึงไม่อ้างนายชัยสิทธิ์ คนขับรถเป็นพยานบุคคลในชั้นการชี้แจงกับ กกต. นายธนาธรกล่าวว่า ประเด็นบุรีรัมย์มากรุงเทพฯ เกิดขึ้นเพราะตนตอบคำถามนักข่าวผิดเพียงครั้งเดียว จนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต เรามีทั้งใบสั่งและอีซี่พาส เวลาสัมพันธ์กันหมดทุกช่วงเวลา แต่คนที่จะจัดการว่าใครควรเป็นพยานคือทนายความ 41 ปีในชีวิตนี่เป็นครั้งแรกที่เข้ามานั่งหน้าบัลลังก์ ที่ผ่านมาไม่เคยมีคดีเลย เมื่อถูกถามย้ำถึงการจดแจ้งเลิกกิจการ บ.วี-ลัค มีเดียอย่างเป็นทางการ นายธนาธรกล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “จะต้องให้ตอบอีกกี่ครั้งว่าจำไม่ได้”

ชี้ไม่อยากมีประโยชน์ทับซ้อนแบบ “ทักษิณ”

ต่อมาทนายความของนายธนาธรได้ซักถาม เพื่อชี้ให้ศาลเห็นว่ากระบวนการไต่สวนของ กกต.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยนายธนาธรกล่าวว่า กกต.มีเอกสารมาถึงตนและนางสมพร เรียกไปให้ถ้อยคำตอนเช้า แต่หนังสือเรียกส่งมาถึงบ้านช่วงบ่าย ตนไม่มีไทม์แมชชีน ถ้ากระบวนการสอบสวนไม่ถูกต้องตั้งแต่ต้น ศาลก็ไม่ควรพิจารณาคดีนี้ และอยากให้ศาลพิจารณาว่า ขณะที่ กกต.ยื่นคำร้องต่อศาล อนุกรรมการไต่สวนของ กกต.ยังสอบสวนไม่เสร็จ สิทธิของตนในเรื่องนี้ควรได้รับการพิทักษ์ และขอสงวนสิทธิถ้า คสช.หมดอำนาจจะดำเนินคดี กกต.ตั้งใจอย่างจริงจังที่จะทำงานการเมือง โดยไม่อยากให้มีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน อย่างที่นายทักษิณ ชินวัตร โดนมาก่อน ต้องการให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย หากศาลตัดสินเป็นคุณกับตนจะออกไปทำเรื่องบายทรัสต์ทันที เพราะต้องการใช้มาตรฐานนักการเมืองตะวันตกจัดการผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่ต้องเข้ามาเพื่อมีผลประโยชน์หรือบริวารห้อมล้อมเหมือนนายทักษิณ เพราะอยากจะเปลี่ยนแปลงสังคมนี้ ถ้ายังอยู่แบบนี้จะเดินต่อไปไม่ได้

ทนายอึกอักไม่รู้ตัวเลขจำนวนหุ้น

จากนั้นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไต่สวนพยานปาก 2 คือนายณัฐนนท์ อภินันท์ ทนายความ ศาลซักถามการทำเอกสารสัญญาโอนหุ้น ทนายจัดเตรียมใช่หรือไม่ นายณัฐนนท์ชี้แจงว่า เป็นคนจัดเตรียมการทำสัญญาดังกล่าว มีนายพุฒิพงศ์ พงศ์เอนกกุล ผอ.ฝ่ายกฎหมายพรรคอนาคตใหม่ เป็นคนมอบหมายว่านายธนาธรประสงค์โอนหุ้นและนายพุฒิพงศ์เป็นคนให้ข้อมูล ทั้งข้อมูลที่บรรจุในสัญญาตลอดจนผู้รับรองการทำสัญญา แต่เมื่อศาลสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการโอนหุ้น นายณัฐนนท์กลับไม่สามารถชี้แจงได้ว่าจำนวนหุ้นที่โอนมีกี่หุ้น การโอนหุ้นเป็นอย่างไร จนศาลรัฐธรรมนูญตั้งข้อสังเกตว่า หากนายณัฐนนท์ไม่ทราบข้อมูลดังกล่าวแล้วจะพิมพ์สัญญาได้อย่างไร จะรู้เห็นการทำสัญญาโอนหุ้นได้อย่างไร ทั้งที่โดยหลักการนายณัฐนนท์ต้องรู้ข้อมูลทั้งหมด นายณัฐนนท์ได้ชี้แจงต่อว่า การเตรียมเอกสารการโอนหุ้นเตรียมก่อนล่วงหน้าเป็นอาทิตย์ ในวันที่ 8 ม.ค.2562 นัดหมายทำสัญญาที่บ้านนายธนาธรประมาณ 6 โมงเย็น ไม่ทราบว่านายธนาธรมาถึงบ้านตอนกี่โมง แต่เมื่อถึงเวลานัดหมายก็มาถึงแล้ว และเซ็นสัญญาติด อากรแสตมป์ในสัญญาในวันเดียวกัน และเห็นว่ามีการมอบเช็คให้ในวันนั้นด้วย เป็นเช็คที่นางสมพรเตรียมมามอบให้ธนาธรและภรรยา

คนรถยันบึ่งจากบุรีรัมย์มาเซ็นสัญญา

จากนั้นมีการไต่สวนพยานปาก 3 คือนายชัยสิทธิ์ กล้าหาญ คนขับรถของนายธนาธร ชี้แจงว่าทำงานขับรถส่วนตัวให้กับนายธนาธรและภรรยามาแล้ว 2 ปีแล้ว ยืนยันว่าวันที่ 8 ม.ค.ขับรถออกจาก จ.บุรีรัมย์มายัง กทม.จริง ผู้โดยสารในรถมีเพียงนายธนาธรคนเดียว ออกจาก อ.สตึก หลังนายธนาธรขึ้นเวทีปราศรัยเสร็จตอนเช้าประมาณ 11 โมง ถึง กทม.ประมาณ 4 โมงเย็น แต่นายชัยสิทธิ์ไม่ได้เข้าในบ้าน จึงไม่รู้ว่ามีใครอยู่ในบ้านบ้าง แต่สังเกตเห็นว่ามีรถไม่ใช่รถในบ้านมาจอดอยู่ 1 คัน แต่ไม่ทราบว่าเป็นรถของใคร

“สมพร”เบิกความตีเช็คลงวันที่ 8 ม.ค.

ช่วงบ่าย ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเบิกตัวนางสมพร ขึ้นเป็นพยาน โดยนางสมพรยืนยันว่า การโอนหุ้นในวันที่ 8 ม.ค.เกิดขึ้นที่บ้านนายธนาธร วันดังกล่าวทราบว่านายธนาธรอยู่ที่ จ.บุรีรัมย์แล้วจะนั่งรถกลับบ้าน เมื่อตนเดินทางไปถึงพบว่านายธนาธรและนายณัฐธนนท์ไปถึงก่อนแล้ว เพราะนัดไว้เวลา 18.00 น.ได้เตรียมเช็คมา 2 ใบเพื่อชำระค่าหุ้น สั่งจ่ายนายธนาธร 6,750,000 บาท เช็คลงวันที่ 8 ม.ค.62 ไม่รู้ว่าเช็คจะนำไปขึ้นเงินเมื่อไร ต่อมาศาลพยายามซักถามกรณีหุ้นดังกล่าว มีปัญหาการไปจดแจ้งหลังวันที่นายธนาธรสมัครรับเลือกตั้ง นางสมพรกล่าวว่า บริหารบริษัท 40กว่าแห่ง ปกติการยื่นสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (บอจ.5) จะเคลียร์ให้เรียบร้อยก่อนยื่นงบดุล หลังโอนหุ้นไม่ได้หมายความว่าเอกสารต้องทำเรียบร้อยในทันที ปกติก่อนโอนหุ้นบริษัทอื่นๆ จะมีการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น แต่การโอนวี-ลัค มีเดียดำเนินก่อนช่วงก่อนสิ้นปี ทุกคนงานยุ่ง นายธนาธรเตรียมตัวมาเล่นการเมือง เขาต้องถอนหุ้นออกจากเครือไทยซัมมิททั้งหมด บ.วี-ลัคมีเดียไม่มีการเปลี่ยนแปลงมานาน จึงไม่มีการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น

โอนหุ้นไปกลับให้หลานก่อนปิดกิจการ

นางสมพร ได้ชี้แจงถึงการโอนหุ้นให้หลานชาย 2 คน ในวันที่ 11 ม.ค.62 คือนายทวี จรุงสถิตพงศ์ หรือบี และนายปิติ จรุงสถิตพงศ์ หรือเอ โดยนายทวีเรียนจบนิเทศศาสตร์มาโดยตรงมีความสนใจ จึงขอให้นายปิติ (พี่ชาย) มาช่วยเพราะ บ.วี-ลัคมีเดียไม่มีพนักงานเหลืออยู่แล้ว จึงตกลงโอนหุ้นทั้ง 2 ก้อนไปให้หลานชายแท้ๆ เพื่อฟื้นฟูบริษัท ไม่ใช่การขาย พี่ชายคนโตของตนเสียชีวิตไปเกือบ 20 ปีอุ้มชูหลานทั้ง 2 คนมาตลอด หลังจากหลานไปเรียนรู้แผนงานได้กลับเสนอให้ลงทุนเพิ่มใน บ.วี-ลัคมีเดียอีกหลายล้านบาท แต่ตัดสินใจไม่ลงทุนเพิ่มเพราะมองว่าตกเทรนด์แล้ว จึงให้หลานทั้ง 2 คนโอนหุ้นกลับมา จากนั้นจึงเจรจากับลูกหนี้บางรายให้ทยอยจ่ายหนี้ โดยลดหนี้ให้ครึ่งหนึ่งเพื่อให้ปิดบัญชีได้เร็ว จึงเป็นเหตุให้การปิดบัญชีบริษัททำได้ในเดือน มิ.ย.62 ตนเริ่มทำธุรกิจตั้งแต่อายุ 23 ปีหลังเรียนจบจากสหรัฐฯ เมื่อแฟนมาจีบก็แต่งงานเมื่ออายุ 24 ปี จนถึงขณะนี้อายุ 68 ปีแล้ว การบริหารงานตลอด 40 ปียึดมั่นในกฎหมาย รวมถึงกรอบเวลาต่างๆในกฎหมาย แต่การโอนหุ้น บ.วี-ลัคมีเดียแตกต่างจากหุ้นบริษัทอื่นเพราะเป็นการโอนหุ้นภายในกันเอง จึงไม่มีการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น นอกจากนั้นในวันที่ 8 ม.ค.62 มีการเซ็นโอนหุ้นในเครือไทยซัมมิทหลายบริษัท แต่มีการชำระเงินเฉพาะ บ.วี-ลัคมีเดีย ส่วนหนึ่งเพราะต้องการปิดบริษัทนี้

ยกมือไหว้บอกครั้งแรก “หนูก็ตื่นเต้น”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศในการไต่สวนพยานปากนางสมพรเป็นไปอย่างผ่อนคลาย ศาลไม่ได้ซักถามอย่างกดดันหรือตึงเครียด เมื่อเห็นว่านางสมพรไม่เข้าใจหรือมีอาการงุนงงกับคำถามของทนายฝ่ายผู้ถูกร้อง ได้ช่วยอธิบายคำถาม ขณะที่นางสมพรเบิกความด้วยอาการตื่นเต้น ใช้สรรพนามว่า “ข้าพเจ้า” บ้าง “หนู” บ้าง หลังเสร็จสิ้นการเบิกความนางสมพรยกมือไหว้ขอบคุณศาลพร้อมกล่าวว่า “หนูก็ตื่นเต้น”

“เมีย” ติดเลี้ยงลูกขึ้นเช็คทีหลายใบจึงช้า

ถัดมานางรวิพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ภรรยานายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ให้ถ้อยคำต่อศาล โดยนางรวิพรรณ ชี้แจงว่าการโอนหุ้นบริษัทวี-ลัควันที่ 8 ม.ค.62 หลังเซ็นเสร็จนางสมพรเซ็นเช็คจ่ายค่าตอบแทนการโอนหุ้นบริษัทวี-ลัคให้คุณธนาธรและตนคนละฉบับ เช็คทั้งสองใบตนเองเป็นคนเก็บและนำไปขึ้นเดือน พ.ค.62 ด้วยตนเอง เหตุที่เว้นหลายเดือนเป็นเรื่องปกติ เพราะที่ผ่านมาจะรวบรวมหลายฉบับแล้วนำไปขึ้นพร้อมกันทีเดียว อย่างในปี 60 มีเคยนำเช็คไปขึ้นทีเดียว 10 ฉบับ การขึ้นเช็คจะไม่มอบให้ใครไปดำเนินการแทน ช่วงนั้นเพิ่งคลอดลูกคนเล็กเดือน ก.ย. จึงต้องเลี้ยงลูกและเห็นว่าเป็นเช็คบริษัทในเครือ ไม่มีปัญหาการเด้งแน่จึงไม่ได้รีบนำไปขึ้น แต่ต่อมาเมื่อเกิดกระแสข่าวเรื่องการโอนหุ้น เมื่อได้รับเช็คที่ทนายนำมาแสดงต่อ กกต.คืน จึงรีบนำไปขึ้นเงิน

ผู้จัดการรับเป็นพยานโอนหุ้น

น.ส.ลาวัลย์ จันทร์เกษม ผู้จัดการทั่วไปดูแลสายงานบัญชี บริษัท ไทยซัมมิท โอโต้พาร์ค อินดัสตรี จำกัด ชี้แจงว่าได้ลงนามเป็นพยานการโอนหุ้นวันที่ 8 ม.ค.ไปถึงบ้านนายธนาธรพร้อมกับ น.ส.กานต์ฐิตา และได้ร่วมตรวจสอบตราสารการโอนหุ้นว่าโอนจากผู้โอน ผู้รับโอน ชื่อ มูลค่าหุ้น ถูกต้องหรือไม่และร่วมลงนาม นอกจากนี้ยังเป็นพยานการโอนหุ้นวันที่ 14 ม.ค.ระหว่างนางสมพรกับหลานชายทั้งสองคนที่บ้านนางสมพร ซึ่งมีบ้านอยู่ตรงข้ามกับบ้านนายธนาธร และยังเป็นพยานโอนหุ้นคืนระหว่างหลานชายทั้งสองคนกับนางสมพร วันที่ 21 มี.ค. ทั้ง 3 ครั้ง เมื่อโอนเสร็จจะลงในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นบริษัทชี้ไม่แจ้ง บอจ.5 เพราะโอนกันภายใน

จากนั้นศาลได้ซักว่าทำไมการโอนหุ้นวันที่ 8 ม.ค.62 กับวันที่ 14 ม.ค.62 ไม่มีการแจ้ง บอจ.5 แต่การโอนวันที่ 21 มี.ค.62 จึงแจ้ง บอจ. 5 น.ส.ลาวัลย์ชี้แจงว่ามีเหตุหลายประการ ส่วนหนึ่งเห็นว่าการโอนหุ้น 3 ครั้ง เป็นการโอนภายในบริษัทจึงไม่แจ้ง บอจ. 5 ขณะเดียวกันบริษัท วี-ลัค เลิกกิจการทำให้ไม่มีใครมารับงานจากตนไปดำเนินการต่อแต่หากมีการสั่งให้ไปดำเนินการก็ดำเนินการได้ ส่วนการโอนวันที่ 21 มี.ค.62 มีการแจ้ง บอจ.5 เนื่องจากก่อนหน้านั้นวันที่ 19 มี.ค.62 มีการประชุมและมีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นบริษัท ต้องมีการแจ้งเปลี่ยนแปลงกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า จึงได้มีการแจ้ง บอจ.5 ไปในคราวเดียวกัน

ด้าน น.ส.กานติ์ฐิตา อ่วมขำ กล่าวว่า รับผิดชอบงานการเงินบริษัทไทยซัมมิท โอโต้พาร์ค อินดัสตรีจำกัด มา 22 ปี การโอนหุ้นวันที่ 8 ม.ค.อยู่ในเหตุการณ์ เดินทางไปพร้อม น.ส.ลาวัลย์ จะทราบข้อมูลว่าจะมีการโอนเปลี่ยนแปลงการถือหุ้นใน 10 บริษัทรวมถึงบริษัทวี-ลัค ในฐานะฝ่ายการเงิน ได้ลงนามเป็นพยานในตราสารการโอนหุ้น รวมทั้งเป็นพยานการโอนหุ้นระหว่างนางสมพรกับหลานชายและการโอนคืนระหว่างหลานชายมายังนางสมพร

หลานแจงคุณอาโอนหุ้นให้ฟื้นฟูกิจการ

ศาลเบิกตัวนายปิติ จรุงสถิตพงศ์ (เอ) ขึ้นเบิกความว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับหุ้นวี-ลัคมีเดีย อย่างไร นายปิติยืนยันว่ามีการโอนหุ้นในวันที่ 14 ม.ค.และโอนคืนในวันที่ 21 มี.ค.หลังการคุยแผนธุรกิจในวันที่ 19 มี.ค.ที่ประสงค์ให้นางสมพรลงทุนเพิ่มแต่นางสมพรไม่ตกลง ตนจึงตัดสินใจโอนหุ้นคืนโดยตนและน้องชายไปโอนหุ้นที่บ้านพักของนางสมพรในวันดังกล่าวมีพนักงานบริษัทไทยซัมมิทและทนายความเป็นพยาน การโอนรับหุ้นในวันที่ 14 ม.ค. และโอนคืนในวันที่ 21 มี.ค.ไม่มีการชำระเงินใดๆกับหุ้นตัวนี้ ต่อมานายทวี จรุงสถิตพงศ์ (บี) เบิกความว่าได้รับการสนับสนุนจากนางสมพรตั้งแต่เรียนจบ จนถึงปัจจุบันนางสมพรก็ยังให้การสนับสนุนตนในหลายๆด้าน ก่อนหน้านี้เคยได้รับโอกาสให้เป็นหุ้นส่วนธุรกิจ ตนเป็นผู้ลงแรงส่วนนางสมพรเป็นผู้ลงทุน นอกจากประกอบธุรกิจส่วนตัวแล้ว ตนยังมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการทั่วไปสนามไดรฟ์กอล์ฟเบอร์ดีไฟว์ของนางสมพร ซึ่งดูแลมานานเกือบ 7 ปี

นัดฟังผลวินิจฉัยชี้ชะตา 20 พ.ย.

หลังเสร็จสิ้นการไต่สวนพยาน 10 ปาก ตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น. ศาลได้แจ้งคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่ายว่าศาลนัดฟังคำวินิจฉัยคดีนี้ในวันพุธที่ 20 พ.ย.เวลา 14.00 น. และให้คู่กรณีส่งคำแถลงปิดคดีภายในเวลา 15 วันนับจากวันนี้

ฉะทุ่มซื้ออาวุธทำร้าย ปท.ไล่ปฏิรูปงบฯ

ช่วงค่ำ การประชุมสภาฯเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบฯปี 63 ยังเป็นไปอย่างเข้มข้น เมื่อเวลา 19.55 น. นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อหัวหน้าพรรคเพื่อชาติ อภิปรายว่า การรัฐประหารกระทบระบบเศรษฐกิจ มองย้อนไป 5 ปีจนถึงปัจจุบันขาดดุล ครั้งนี้จัดงบฯขาดดุลอีกเช่นเคย แต่ไม่เลวร้ายถ้านำไปกระตุ้นเศรษฐกิจให้ประชาชนเป็นอยู่ดีขึ้น ถ้าจัดงบฯขาดดุลแล้วไม่เกิดผลดีตั้งงบฯไปซื้อรถถังซื้ออาวุธ ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ถือว่าทำร้ายประเทศชาติ อย่างให้อภัยไม่ได้ การจัดงบฯครั้งนี้ไม่สอดรับกับยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลทำขึ้นเอง ตั้งแต่ยึดอำนาจมายังไม่เคยได้ยินรัฐบาลบอกเลยว่าจะหารายได้มาจาก ไหนบ้าง ต้องปฏิรูปงบประมาณ สินค้าเกษตรย่ำแย่ ส่งออกลดน้อยลง ผู้ประกอบการจะผูกคอตายกันหมดแล้ว นี่คือสภาพแท้จริงหรือเผาจริงแล้ว มีการจัดงบฯไม่เป็นธรรมต่อพื้นที่ ต่อว่ารัฐบาลที่ผ่านมาว่าจัดงบฯตามฐานคะแนนเสียงแต่กลับทำสิ่งที่ด่าคนอื่นมากกว่าอีก รัฐบาลผู้กำกับการใช้จ่ายกลับนำงบฯไปให้บางจังหวัดที่ช่วยเหลือตัวเองได้ จังหวัดที่เจริญน้อยห่างไกลกลับได้งบฯน้อย รัฐบาลควรชี้แจง นำไปแก้ไข ขอให้พิจารณางบฯในทางที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ กับประเทศมากกว่านี้

“ชลน่าน” จวก รบ.ทุบโครงสร้าง ศก.พัง

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ความเห็นส่วนใหญ่ของ ส.ส.เห็นว่าร่าง พ.ร.บ.งบฯครั้งนี้ ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะรับหลักการ แม้แต่ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลก็เห็นข้อบกพร่องเยอะ ไม่ตอบโจทย์แก้ปัญหา ไม่สร้างความเป็นธรรม ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ หลายเรื่องไม่สามารถตรวจสอบได้ว่างบฯจะลงไปถึงประชาชนหรือไม่ จึงควรนำไปปรับปรุงเสนอเข้ามาใหม่ มีหลายส่วนไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย การจัดสรรไม่สอดคล้องกับปัญหาของประเทศที่แก่และจน ประเทศอยู่ได้เพราะใส่เครื่องเทียมที่ทรงอิทธิพลเข้าไปในร่างกาย แต่โครงสร้างเศรษฐกิจฐานรากซึ่งเป็นเซลล์ทุกเซลล์ล้มเหลวผุพังหมดแล้ว ถ้าถอดสิ่งเทียมออกเข้าโลงแน่นอน ที่สำคัญมีปลิงเกาะเต็มตัว ทุจริตเต็มไปหมด ถ้าเลี้ยงปลิงเหล่านี้ไว้ อวัยวะภายในจะตายหมด การกระจายเม็ดเงินลงพื้นที่มีปัญหา ไม่สอดคล้องกับพื้นที่ที่ใช้ แต่ยังอนุมัติงบฯลงไปเพื่อหวังเปลี่ยนงบฯไปใช้ในสิ่งที่ท่านต้องการ เรารู้อยู่เป็นเสียงข้างน้อย เสียงข้างมากยังไงก็ผ่าน แต่ขอให้ กมธ.ไปปรับเนื้อหาลดงบฯลง 50,000-100,000 ล้านบาท และให้ ส.ส.ช่วยแปรญัตติปรับลดทุกรายการ เอาเม็ดเงินไปเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนมากที่สุด ในชั้นนี้ไม่อาจรับหลักการกับร่าง พ.ร.บ.นี้ แต่ถ้ารัฐบาลให้ความมั่นใจกับฝ่ายค้านว่าจะยอมปรับเปลี่ยนลดงบฯตามที่ฝ่ายค้านเสนออาจจะเป็นโอกาสที่ฝ่ายค้านจะไปพิจารณาดูอีกครั้งในชั้นกรรมาธิการ

ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง

ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0