ในบรรยากาศประเทศไทยเข้าสู่ช่วงความเป็นมงคลกับพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ที่วานนี้ “นายกรัฐมนตรี” “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นำซ้อมเดินร่วมริ้วขบวน ขณะที่เปิดทำงานวันนี้ไป ปฏิบัติภารกิจร่วมพิธีฉลองความสำเร็จในการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา (บ้านหนองเอี่ยน-สตึงบท) อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ร่วมพิธีเปิดสถานีรถไฟด่านพรมแดนบ้านคลองลึก ลงนามความตกลงว่าด้วยการเดินรถไฟระหว่างทั้งสองประเทศ และพิธีส่งมอบรถไฟดีเซลราง
แต่ที่คู่ขนานกันไปคือความเรียบร้อยลงตัวทางการเมืองหลังการเลือกตั้งผ่านมาได้เกือบครบ 1 เดือนในสองวันข้างหน้า 24 เม.ย. ที่ กกต. ยังไม่สามารถสรุปผลการเลือกตั้งได้โดยเฉพาะ “สูตรการคิดปาร์ตี้ลิสต์” ที่มีการส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ซึ่งสัปดาห์นี้ต้องลุ้นกันอยู่ว่าจะออกหัวหรือก้อยในวันพุธ 24 เม.ย. นี้ว่าศาลจะรับหรือไม่ถ้าไม่รับเผือกร้อนก็โยนกลับไปกกต. ดำเนินการต่อด้วยอาการเสี่ยงๆ ถ้ารับก็อาจมีขั้นตอนที่ต้องลุ้นว่าจะทันกำหนดเวลามั้ย หลังจากที่ประเด็น “สูตรนับคะแนน” กลายเป็นข้อครหา “ความได้เสีย” ของตัวเลขการพลิกผันของสองขั้วการเมืองฝ่ายหนึ่งนำโดย พลังประชารัฐ ที่ได้เปรียบ จากการมี 250 ส.ว. อยู่ในมือยังไงก็ได้ที่นั่งนายกฯเพียงแค่มี ส.ส. ด่านแรก 126 ขอแค่ความมั่นใจในเสถียรภาพรัฐบาลในสภาล่างที่ควรมี ส.ส. อย่างน้อย 251 ที่นั่งขึ้นไป
โดย “สูตร” ที่ กกต.ใช้คำนวณ ปรากฎว่าไปพลิกคะแนนจากที่ฝั่ง“พรรคฝ่ายประชาธิปไตย” นำโดย พรรคเพื่อไทย 137 อนาคตใหม่ 87 ชิงเกาะตัวหลวมกับพรรคพันธมิตรอ้างว่าถึง 255 ก่อนขณะที่ฝั่งพลังประชารัฐ ก็อ้างว่าสามารถรวมเสียงได้ถึง 250 ซึ่งยังมีประชาธิปัตย์เป็น “ตัวแปรสำคัญ” โดย “สูตร กกต.” ทำให้เกิดพรรรคเล็กได้ ส.ส. พรรคละ 1 ที่นั่งขึ้นมา 13 พรรครวมมีพรรคได้รับเลือกตั้ง 27 พรรค ซึ่งจะไปลดที่นั่งฝั่งพรรคฝ่ายประชาธิปไตยจนมีการโวยวายละนำมาสู่การตกเป็น “ตำบลกระสุนตก” ของ กกต. ที่โดนขบวนการนักศึกษา 19 สถาบันเคลื่อนไหวล่าชื่อถอดถอน เรียกว่าทำให้ กกต. แทนที่จะดำเนินการจัดการสรุปเลือกตั้งให้ทัน 9 พ.ค.ก็ต้องมาหมกมุ่นกับปม“ตีความสูตร” นี้
อย่าลืมว่า กกต. ยังมีคิวพิจารณาคำร้องเลือกตั้ง ส.ส. อีก 66 เขต ที่ว่ากันว่าประมาณ 40 เขตทีจ่อๆมีมูลไปถึงการจะต้องแจกใบแดง เหลือง ส้ม อาจต้องเลือตั้งใหม่ และยังมี 200 กว่ากรณีร้องเรียนเลือกตั้งที่กำลังพิจารณา ที่หากผลออกมาก็ส่งผลสมการตัวเลขอีก โดยเฉพาะยังมีกรณีของ “ธนาธร-ปิยบุตร” ที่โดนทั้งปมการโอนหุ้น ปม ม.116 และ ปมที่อาจโยงไปสู่ ม.112 ก็อาจเข้าข่ายไปสู่การพิจารณาด้วยในจังหวะอันใกล้ ขณะเดียวกัน กกต.ก็ยังมีคิว “เก็บงาน” จัดเลือกตั้งใหม และนับคะแนนใหม่ให้เรียบร้อย ดังที่เมื่อวาน (21เม.ย.) ก็เพิ่งจัดเลือกตั้งใหม่ไปล็อตแรก 6 หน่วย ใน 5 จังหวัด ได้แก่ ลำปาง ยโสธร เพชรบูรณ์ พิษณุโลก และกรุงเทพมหานคร จาก “พิษบัตรเขย่ง”
อย่าลืมเช่นกันว่าทุกกระบวนการทั้งหมดทุกอย่างถูกขีดเส้นจะต้องจบก่อนวันที่ 9 พฤษภาคม ตามเดดไลน์รัฐธรรมนูญล็อกเวลาให้ กกต.ต้องประกาศรับรอง ส.ส. ร้อยละ 95 เพื่อดำเนินกระบวนการ “รัฐพิธี” เปิดประชุมรัฐสภาที่ต้องจัดเวลาให้ลงล็อกกับพระราชพิธีสำคัญ(อ่าน:กกต.กับการตัดสินใจรับรองผลลต.)
ที่แน่นอนกระบวนการจัดการของ กกต. ที่เวลางวดใกล้จำกัด ไม่ว่าจะอออกมาทรงไหน ย่อมส่งผลกระทบกับ “สมการตัวเลข” ที่มีความพยายาม “จับขั้วการเมือง” กันแต่ที่น่าสนใจคือในสัปดาห์ที่ผ่านมากับการเคลื่อนไหวแบบ“ผิดปกติ” ทั้งแนว “รัฐบาลแห่งชาติ” “รัฐบาลปรองดอง” ที่มีชื่อ “นายกฯ” คนดัง หลายค ของ “เทพไท เสนพงศ์” แห่ง พรรค ปชป. และการเสนอการใช้กฎหมายแบบพิศดารกับ ม.270 บทเฉพาะกาลของ “ไพบูลย์ นิติตะวัน” ขณะที่ก็มีความเคลื่อนไหวรวมตัวกันอย่างหลวมๆของ 13 พรรคเล็กที่มี 1 ส.ส.
น่าสนใจว่าความเคลื่อนไหวเหล่านี้เกิดขึ้นในจังหวะข่าวของ“บิ๊กโจ๊ก” ทีถูกพยายามโยงไปหา “บิ๊กป้อม” กับข่าวลือทางลบด้านผลประโยชน์ และความพยายามปั่นกระแสโจมตีทั้งภาพเรื่องส่วนตัวตลอดช่วงวันหยุด จนเกิดกระแสการกลับมาเป็น “ตำบลกระสุนตก” อีกครั้งที่อาจทำให้ส่งผลต่อ “การไปต่อ” ของ“นายกลุงตู่” ที่เปรียบแล้ว “พล.อ.ประวิตร” คนเป็นพายเรือให้“นายกฯลุงตู่” ไปต่อตลอดรอดฝั่ง ขณะเดียวกันระแสบางส่วนก็นำข้อมูลเดิมกลับมาโจมตีกระทบชิ่งไปยัง “พล.อ.ประยุทธ์” กรณีธุรกิจครอบครัว “พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา” น้องชายอีกครั้ง ที่ทั้งหมดถูกประเมินว่า เป็นผลจากแนวโน้ม “ข้อสรุป” ผลการเลือกตั้งตามเส้นตายที่จะออกมาส่งผลกระทบกับบางขั้วข้าง โดยเฉพาะ “สมการ” การจับขั้วการเมืองที่ “พล.อ.ประยุทธ์” มีโอกาสได้ไปต่อ
