"เรื่องนี้พูดมาหลายครั้งแล้วว่าการที่ผมจะปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้นั้นก็ต้องว่ากันอีกขั้นตอนหนึ่ง เป็นเรื่องของพรรคร่วมรัฐบาล นายกฯจะต้องพิจารณาในภาพรวมตรงนั้น เรื่องของวันนี้เป็นเรื่องของพรรคการเมืองซึ่งเขาต้องว่ากันไป
ซึ่งพวกท่านก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่าหลายๆ เรื่อง เป็นเรื่องกลไกทางการเมืองในระดับพรรค ซึ่งการเมืองมีตั้งแต่ระดับพรรคของแต่ละพรรค ระดับของพรรคร่วมรัฐบาลและระดับของรัฐบาล ขอให้เข้าใจในตรงนี้อย่าให้มีปัญหาอย่างอื่นต่อไปอีกเลยแค่นี้ก็พอแล้ว วุ่นวายพอสมควร"
"บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์สื่อ ถึงปัญหาความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชารัฐ ที่แต่ละกลุ่มก๊วน ต่างเปิดศึกประลองกำลังกันไม่หยุดหย่อน
จนมาถึงความเคลื่อนไหว จอดป้ายกันที่ว่า "กลุ่มสามกุมาร" ทำท่าจะโยนผ้ายอมแพ้ เพราะทนแรงกดดันจาก "ขั้วการเมือง" ที่ออกตัวหนุน "บิ๊กป้อม"พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ไม่ไหว !
ปัญหาความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชารัฐ ที่มีการเปิดหน้าชน ระหว่าง "กลุ่มสามมิตร" ที่ออกตัวหนุนพล.อ.ประวิตร ให้นั่งหัวหน้าพรรค แทนอุตตม โดยเดินเกมไม่หยุดหย่อน ขณะที่ทางฟากขั้วอุตตม เองได้ยื้อยุดเก้าอี้ทั้งที่พรรคพลังประชารัฐ เอาไว้อย่างเหนียวแน่นมาตลอด
เพราะอุตตม และกลุ่มต่างรู้ดีว่า ถ้าต้องเสียเก้าอี้ "หัวหน้าพรรค" จะเท่ากับเป็นการ "เปิดทาง" ให้มีอันต้องถูกยึดเก้าอี้อีกหลายที่นั่งตามมา
ทั้งเก้าอี้ "เลขาธิการพรรค" และ "รมว.พลังงาน" ของสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ไปจนถึงเก้าอี้ รมว.กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ของ สุวิทย์ เมษินทรีย์
แต่แล้วสถานการณ์ความขัดแย้ง ในพรรคพลังประชารัฐวันนี้ไม่อาจปิดบังได้อีกต่อไป ว่าทุกสิ่งทุกอย่างบานปลาย จนถึงที่ต้องยอมรับว่า "มองหน้ากันไม่ติด" เมื่อกลุ่มสามมิตร เล่นไม่เลิก บีบกลุ่มสามกุมาร จนไม่มีที่ยืนหลงเหลืออยู่ด้วยการทิ้งไพ่ ประสานเสียงกับส.ส.กลุ่มต่างๆ พากันยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค ถึง 18 คนเพื่อบีบให้ "อุตตม-สนธิรัตน์" ต้องพ้นจากเก้าอี้หัวหน้าและเลขาฯพรรค นำไปสู่การปรับโครงสร้างพรรคใหม่
แม้พล.อ.ประยุทธ์ จะยืนยันว่า ปัญหาการแย่งชิง ตำแหน่งในพรรคพลังประชารัฐจะไม่เกี่ยวข้อง จนมาเชื่อมโยงกับ "เก้าอี้รัฐมนตรี" ของกลุ่มสามกุมารที่จะต้องถูกยึดคืนตามมาก็ตาม แต่ที่สุดแล้ว การปรับครม.ภายหลังจากที่พรรคพลังประชารัฐได้มีการประชุมใหญ่เพื่อเลือกคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ขึ้นมาเสร็จสิ้นลงไป
ทั้งนั้นทั้งนี้ การที่พรรคพลังประชารัฐจะมีการเรียกประชุมใหญ่พรรคได้นั้น ก็ต้องรอความชัดเจนว่า บิ๊กตู่ ในฐานะนายกฯ จะตัดสินใจ "คลายล็อค" มาตรการต่างๆเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อใด
เพราะวันนี้ทุกพรรคการเมือง ไม่สามารถดำเนินการใดๆได้ ด้วยติดล็อคจากการบังคับใช้พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 2548 ด้วยกันทั้งสิ้น
ทำไปทำมา งานนี้พล.อ.ประยุทธ์ แม้อยากจะ "ลอยตัว" อยู่เหนือปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง แล้วมุ่งหน้าสู้รบตบมือกับเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเต็มที่ ก็ดูจะเป็นไปได้ยากเสียแล้ว เมื่อการเมืองกำลังพัวพัน วุ่นวาย และรอไฟเขียวจากพล.อ.ประยุทธ์ ว่าจะยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เปิดทางให้พรรคพลังประชารัฐ จัดประชุมใหญ่เพื่อเลือก "หัวหน้า-เลขาฯพรรคคนใหม่" โดยใช้ข้อกฎหมายเป็นเครื่องมือ ได้เมื่อใด !?
