โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

รู้ทัน 7 อย่างที่ซูเปอร์มาร์เก็ตหาทางดึงเงินจากกระเป๋าคุณมากขึ้น

Finnomena

อัพเดต 18 เม.ย. 2562 เวลา 09.04 น. • เผยแพร่ 18 เม.ย. 2562 เวลา 03.53 น. • Mr.Messenger
รู้ทัน 7 อย่างที่ซูเปอร์มาร์เก็ตหาทางดึงเงินจากกระเป๋าคุณมากขึ้น
รู้ทัน 7 อย่างที่ซูเปอร์มาร์เก็ตหาทางดึงเงินจากกระเป๋าคุณมากขึ้น

ในช่วงวันหยุดสงกรานต์ที่ผ่านมา ผมและครอบครัวใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ ตลอด 4 วัน สาเหตุก็เหมือนกับใครหลายๆ คนที่ไม่ค่อยแฮปปี้ที่จะไปต่างจังหวัดในช่วงวันหยุดเทศกาล

หนึ่งกิจกรรมที่ผมทำก่อนกลับมาเริ่มทำงาน ซึ่งจริงๆ ก็ทำอยู่บ่อยๆ ก็คือ การเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตซื้อของใช้จำเป็นมาตุนไว้ที่บ้าน และจากการเดินเข้าออกร้านเหล่านี้บ่อยๆ ก็เริ่มสังเกตเห็นบางอย่างที่น่าสนใจ ก็คือ ผมพบว่า หลายครั้งเรากลับบ้านพร้อมกับสิ่งของที่ไม่ได้อยู่ในลิสต์รายการที่ต้องการซื้อ เราซื้อมันโดยใช้การตัดสินใจไม่กี่วินาทีจากการเดินผ่านชั้นวางมันเท่านั้นเอง ก็เลยลองมานั่งนึกดูว่า อะไรที่เราพลาดไป เผื่อครั้งหน้า จะสามารถเซฟเงินในกระเป๋าตัวเองได้มากกว่านี้ครับ ไปดูกันเลย

1. ป้าย Sale ตัวใหญ่ๆ

อันดับแรกเลย ป้าย Sale นี้ จะเป็นแรงดึงดูดความสนใจขั้นต้นให้เราหันมาชำเลืองมอง กลยุทธ์นี้ ถูกใช้ในสินค้าแฟชั่น เครื่องแต่งกายสตรี (เพราะมันมีอิทธิพลกับเธอเยอะกว่าผู้ชาย) แต่ก็ยังแพร่หลายในหลายร้านค้ารวมถึงซูเปอร์มาร์เก็ต แต่คุณรู้หรือไม่ หน้าที่ของ Sale มันแค่ต้องการดึงความสนใจของคุณให้เดินเข้าไปหาครับ เพราะตอบจบของเรื่อง เรามักจะได้สินค้าประเภทอื่นเข้ามาอยู่ในตะกร้ารถเข็น ทั้งๆที่มันไม่ได้ Sale ทุกชิ้น

2. กลิ่นขนมปังหอมๆ กับ ผลไม้สด

2 สิ่งนี้ เราจะพบว่า มันมักจะอยู่ตรงหน้าซูเปอร์มาร์เก็ตเลย ซึ่งก็มีเหตุผลของมันอยู่เหมือนกัน ก็คือ มันให้กลิ่นที่ผ่อนคลาย และกระตุ้นความสุขได้ไม่ยาก รวมถึงสีสันของผลไม้ที่ยั่วให้เราเดินเข้าไปดูว่า ฤดูกาลนี้ มีผลไม้อะไรน่ารับประทานบ้าง มาถึงตรงนี้ คุณก็คงนึกออกว่า ซูเปอร์มาร์เก็ตดึงสายตา และขาของคุณให้เดินเข้าไปข้างในได้ยังไงนะครับ

3. รถเข็นใส่ของ

จริงๆ ผมมองว่า มันเป็นสิ่งจำเป็นนะ แต่บางครั้งมันก็เป็นสิ่งต้องห้ามในเวลาเดียวกัน รู้หรือไม่ว่า รถเข็นนี้ เป็นนวัตกรรมที่มีมาตั้งแต่เกือบๆ 80 ปีก่อน และวันนี้มันก็ยังคงอยู่ เพราะเราสามารถซื้อของในปริมาณมากขึ้น เดินวนทุกซอกทุกมุมได้สะดวกขึ้น แต่หารู้ไม่ว่า พื้นที่ที่เยอะขึ้น เราก็ใส่กิเลสของเราได้เยอะมากขึ้นด้วย ดังนั้น ถ้าคุณมีลิสต์รายการสินค้าในใจแล้ว และต้องการรักษาเงินในกระเป๋าไว้ให้นานที่สุด จงใช้ตะกร้าแทนรถเข็นครับ ฮาๆๆ

4. เครื่องดื่ม และของกินแช่เย็น

จะถูกวางไว้ในตู้แช่ซึ่งอยู่ลึกมากๆ ซึ่งเหตุผลมันก็อาจจะเพราะ ตู้เย็น หรือตู้แช่ มันมีขนาดใหญ่อาจเกะกะสินค้าชนิดอื่น แต่ผมก็มองว่า อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ การเอาผลิตภัณฑ์เหล่านี้ซึ่งโดยปกติแล้ว มีความจำเป็น และเป็นสินค้าหลักมาไว้ด้านหลัง ก็ทำให้เราต้องเดินผ่านชั้นวางสินค้าประเภทอื่นๆ และถ้าได้เดินผ่านโอกาสที่จะเสียตังค์ก็มีสูงขึ้นไปอีก ดังนั้น รีบๆ เดินผ่านไปเลยครับ โฟกัสที่ลิสต์รายการสินค้าของเราไว้เท่านั้นพอ

5. สินค้ายอดนิยม ถูกวางในระดับสายตา

ทั้งนี้ ก็เพื่อให้ง่ายต่อการพบเห็น และถูกหยิบมาหมุนดูรอบๆ กล่อง สาเหตุเพราะงานวิจัยเปิดเผยว่า สินค้าที่ถูกหยิบขึ้นมาดู มีโอกาสจะถูกซื้อมากขึ้น และยิ่งสินค้าที่อยู่ในกระบะซึ่งจัดโปรโมชั่นตลอดทั้งปีพวกนี้ ก็สามารถดึงดูดความสนใจของเราได้ไม่ยาก และมีโอกาสคว้ามาในระหว่างที่เราต่อแถวเพื่อจ่ายเงินสูงมากครับ

6. สินค้าเด็ก ก็ถูกวางในระดับสายตาของเด็ก

และเด็กเล็กๆ เห็นทีไร ยังไงก็จับนะครับ พอจับแล้ว ก็แหงนหน้ามองพ่อมองแม่ และพูดคำว่า“อยากได้” ตรงนี้ ผู้ปกครองก็มีวิธีรับมือที่แตกต่างกันไป แล้วแต่ลีลาและวาทะศิลป์รวมถึงความสามารถในการเจรจาต่อรองของเจ้าลูกน้อย แต่อย่างหนึ่งที่บอกได้เลย ก็คือ หากเด็กๆ ไปกับปู่ย่าตายาย แล้วเกิดหยิบของเด็ก หรือขนมขึ้นมามองหน้าพวกท่านเนี่ย ร้อยทั้งร้อย เสร็จหมดครับ ก็หลานรักของเขานิ ดังนั้น ถ้าจะพาลูกเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ต ให้หยิบลูกขึ้นรถเข็นไปเลย จะได้ไม่ต้องก้มลงต่ำ (ฮา)

7. สินค้าเคาเตอร์จ่ายเงิน

มีการสำรวจพบว่า สินค้าของซูเปอร์มาร์เก็ตตรงบริเวณเคาเตอร์จ่ายเงิน เป็นสินค้าที่มีค่าวางสินค้าแพงกว่าบริเวณอื่น หรือ อีกความหมายหนึ่งคือ เป็นสินค้าที่ซูเปอร์มาร์เก็ตได้กำไรขึ้น ซึ่งมักจะเป็นสินค้าชนิดเล็กๆ พวกถ่าน หมากฝรั่ง ลูกอม ซึ่งเอาจริงๆ น้อยคนนักนะครับ ที่จะเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตมาซื้อสินค้าเหล่านี้โดยตรง แต่เราก็มักจะหยิบหมากฝรั่งออกไปด้วยซักอันสองอัน หลังจากพยายามฆ่าเวลามีการรอคิวจ่ายเงิน

คราวนี้ ก็รอเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ของร้านสะดวกซื้อแล้วนะครับว่า หลายๆ อย่างที่วางไว้ข้างในนั้น ถูกดีไซน์และออกแบบมาอย่างดีแล้ว เพื่อที่จะดึงเงินออกจากกระเป๋าคุณให้มากที่สุด พอเห็นแบบนี้ ก็ต้องตั้งคำถามกับการจ่ายตังค์ดีๆ ว่า เราซื้อของซักชิ้น เพราะมันจำเป็นจริงๆ หรือ? หรือเพราะแรงกระตุ้นจากปัจจัยภายนอก ที่ทำให้เราได้ของชิ้นนั้นกลับบ้านมา ทั้งๆ ที่มารู้ตัวอีกที มันก็ไม่เห็นจำเป็นอะไร

เราลดรายจ่ายได้มากขึ้น ก็แปลว่ามีเงินออมมากขึ้น และเมื่อมีเงินออมมากขึ้น ก็สามารถนำมาต่อยอดลงทุนได้เพิ่มขึ้นด้วยสุดท้าย เมื่อยิ่งลงทุนอย่างต่อเนื่อง เป้าหมายอิสรภาพการเงินในระยะยาวก็ไม่ยากอย่างที่คิด

ทุกอย่างมันเชื่อมต่อถึงกันหมด ชีวิตดีๆ เริ่มต้นที่จ่ายอย่างมีสติครับ

โดย Mr. Messenger

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0