โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

ราคาทองคำ Comeback..! หลุมหลบภัย "เศรษฐกิจโลก"ทรุด

กรุงเทพธุรกิจ

เผยแพร่ 19 ม.ค. 2563 เวลา 06.00 น.

นับตั้งแต่ย่างก้าวเข้าสู่ปี 2563 สถานการณ์ความไม่แน่นอนของโลก"ร้อนแรง" ขึ้นทันที !จากกรณีความขัดแย้งระหว่างประเทศสหรัฐ และ อิหร่าน ที่ทำให้เกิด"ความกังวล" (Panic)ว่าจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ก่อนที่ทุกอย่างจะคลี่คลายลงเมื่อคืนวันที่ 8 ม.ค. ที่ผ่านมา หลัง"โดนัลด์ ทรัมป์"ประธานาธิบดีสหรัฐ ออกมาแถลงถ้อยคำว่าจะไม่ใช่กำลังทางทหารตอบโต้ประเทศอิหร่าน ส่งผลให้บรรยากาศทั่วโลกเริ่มผ่อนคลายความกังวลลงได้ !

ทว่า พลันทีสถานการณ์ทั่วโลกตกอยู่ในภาวะ"เปราะบางสุด"ครั้งนั้น ตลาดทุนคือ ตลาดแรกๆ ที่มีปฏิกิริยาเชิงลบทันที บ่งชี้ผ่าน ดัชนีSET INDEXปรับตัวลดลง"ต่ำสุด"(New Low)นับตั้งแต่ต้นปี 2563 อยู่ที่ 1,559.27 จุด (8 ม.ค.2563) จากต้นปี 2563 ที่ดัชนีอยู่ที่ 1,595.82 จุด (2 ม.ค.2563) หลังนักลงทุนเกิดความวิตกกังวล ส่งผลให้ออกจากสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง

ขณะที่ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เมื่อวันที่ 3 ม.ค.2563 ปิดตลาดที่ 28,634.88 จุด ร่วง 233.92 จุด ขณะที่ดอลลาร์สหรัฐถูกเทขายเพื่อเข้าซื้อสกุลเงินปลอดภัย อาทิ เยนและฟรังก์สวิส ทำให้ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่าลง ส่วนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยได้รับแรงหนุนเช่นกัน ซึ่งแรงซื้อพันธบัตรกดดันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐให้ปรับตัวลง

สอดคล้องกับสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA)ได้จัดงานเสวนา IAA HOT ISSUE ในประเด็น"เจาะลึกผลกระทบประเด็นสหรัฐ-อิหร่าน"ว่า จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 2 ม.ค. ที่ผ่านมา การที่สหรัฐมีการสังหารนายพลกัสเซม โซเลมานี ของอิหร่านโดยประเมินว่า สหรัฐ จะใช้วิธีตอบโต้อิหร่านด้วยการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการโจมตีทางทหารเป็นครั้งคราวแต่ไม่รุนแรง

ขณะที่ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐ และอิหร่านที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับ 2 ครั้งก่อน ถือว่าครั้งนี้สหรัฐ โดดเดี่ยวมากโดยมีประเทศอังกฤษที่ออกมาสนับสนุนเท่านั้น ซึ่งต่างจาก 2 ครั้งก่อนที่มีพันธมิตรเข้ามาร่วมค่อนข้างมาก

"ประเมินสถานการณ์ดังกล่าวน่าจะยืดเยื้อราว 5-10 เดือนไปจนถึงการเลือกตั้งสหรัฐ ในช่วงเดือน พ.ย. 2563 หรือจนกว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แพ้การเลือกตั้งเหตุการณ์น่าจะจบลงได้ เพราะเหตุผลที่เกิดส่วนหนึ่งทรัมป์น่าจะหวังผลทางการเมือง"

อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้การตอบโต้กันของสหรัฐ และอิหร่าน น่าจะเป็นแบบกองโจรและคาดว่าเหตุการณ์ครั้งนี้สหรัฐ น่าจะมีโอกาสชนะประมาณ 40% เพราะอิหร่านน่าจะทนแรงกดดันจากการถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจไม่ไหว และเหตุการณ์ไม่น่าจะถูกยกระดับเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3

มีปัจจัยลบต้องมีบวก ตามสัจธรรมของโลก ที่นักลงทุนต้องหนีจากสินทรัพย์ประเภทเสี่ยงสูง อย่าง"ตลาดทุน"ไปหา"สินทรัพย์ปลอดภัย"และหนึ่งในนั้นคือตลาด"ทองคำ"ที่บรรดาเหล่า"นักลงทุน"ยกให้เป็น"สินทรัพย์ปลอดภัย หรือ Safe Haven"ในยามที่สถานการณ์โลกไม่ปลอดภัย สะท้อนผ่านราคาทองคำปรับตัวขึ้นไปทำ"จุดสูงสุด" (New High)อยู่ที่ 1,611 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (เมื่อวันที่ 8 ม.ค.2563) ซึ่งเป็นราคาสูงสุดในรอบ 7 ปี

11 เดือนที่เหลือของปี 2563 ทิศทางราคาทองคำจะเป็นอย่างไร ไปฟังทัศนะจาก"กูรูตลาดทอง"

"ณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์"ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก จำกัด หรือGBSบอกกับ "กรุงเทพธุรกิจ BizWeek" ว่า ประเมินทิศทางราคา"ทองคำ"ปี 2563 เป็นเชิงบวกที่ราคากำลังเข้าสู่ตลาด"ขาขึ้น"ด้วย"2 ปัจจัย"คือ"ความตึงเครียดสหรัฐ-อิหร่าน"ที่ดูเหมือนสถานการณ์จะเริ่มคลายความกังวลแล้ว และมีทิศทางดีขึ้น หลังประธานาธิบดี"โดนัลด์ ทรัมป์"ประกาศไม่ตอบโต้อิหร่านด้วยกำลังทหาร รวมทั้งการถูกจำกัดสิทธิ์การใช้กำลังทางทหารกับอิหร่าน

ทว่า ในมุมมองเชื่อว่าช่วงที่เหลืออีก 11 เดือนของปีนี้ จะต้องมีเหตุการณ์กระทบกระทั้งเล็กๆ น้อยๆ เข้ามาอย่างแน่นอน ประเมินจากนายพลกัสเซม โซเลมานี ของอิหร่าน เป็นบุคคลที่ประชาชนอิหร่านเคารพมาก ดังนั้น สถาการณ์แบบนี้จะยังคงสร้างความไม่แน่นอนให้ปกคุม ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง แต่จะเป็นผลดีต่อสินทรัพย์ที่ปลอดภัยอย่างทองคำ ซึ่งตอนนี้นักลงทุนรอดูท่าทีของอิหร่าน

แต่อย่างไรก็ตาม มองว่าเหตุการณ์จะไม่รุนแรงจนถึงระดับก่อสงครามโลกครั้งที่ 3 ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก เนื่องจากท่าทีของประเทศมหาอำนาจต่างๆ ไม่ได้ออกมาสนับสนุนสหรัฐฯ เฉกเช่น สงครามโลกทั้งสองครั้งที่ผ่านมา เพราะว่าสถานการณ์ตอนนี้ของทุกประเทศกำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว ฉะนั้น แต่ละประเทศคงไม่มีนโยบายนำเงินออกมาใช้จ่ายในเรื่องของสงครามแน่นอน แต่ทุกประเทศมหาอำนาจจะต้องมุ่งประเด็นแก้ปัญหาในเรื่องของเศรษฐกิจก่อน

การตอบโต้จะเป็นในรูปแบบที่สหรัฐ กดดันอิหร่านในด้านเศรษฐกิจมากกว่า หรือ อิหร่านจะตอบโต้สหรัฐ ด้วยกำลังทางทหารแบบไม่รุนแรง แต่ทำให้เกิดความเสียหายเล็กน้อยแต่ไม่ถึงขึ้นสงคราม

และอีกประเด็นคือ"เศรษฐกิจชะลอตัว"โดยปี 2563 นั้น ประเมินว่าเศรษฐกิจในประเทศขนาดใหญ่จะชะลอตัวทั้งสหรัฐ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และ จีนส่งผลให้ความต้องการสินทรัพย์เสี่ยง"ลดลง" ประกอบกับมองว่าปีนี้แต่ละประเทศต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอีก โดยเฉพาะการทำ"มาตรการผ่อนคลายในเชิงปริมาณทางการเงิน" (QE)ซึ่งจะทำให้เม็ดเงินทั่วโลกเข้ามาในระบบ ส่งผลให้ค่าเงินมีมูลค่าลดลง

นอกจากนี้ ยังต้องติดตามการประชุม"ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด"ที่คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยจนถึงไตรมาส 3 ปี 2563 และคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 1 ครั้งในช่วงไตรมาส 4 ปี 2563 ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำ และปัจจัยที่น่าจับตามองในช่วงปลายปี 2563 คือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ และหาก "โดนัล ทรัมป์" ได้รับการเลือกตั้งอีกสมัยและเป้นประธานาธิบดีต่ออีก คาดว่าจะส่งผลบวกต่อราคาทองคำ เนื่องจากนโยบายสหรัฐฯ มาก่อน

"มองว่าประเด็นระหว่างสหรัฐ และอิหร่านยังไม่จบง่ายๆ ตอนนี้ทุกคนรอดูว่าอิหร่านจะตอบโต้สหรัฐฯ อย่างไร ซึ่งในปีนี้ยังเหลือเวลาอีกตั้ง 11 เดือน"

ทั้งนี้ มองเป้าหมายราคาทองคำปี 2563 อยู่ที่ 1,450-1,650 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามแรงหนุนจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน ซึ่งหากมีความรุนแรงจะทำให้"ทองคำ"เป็นสินทรัพย์ Safe Haven ในภาวะที่ทั่วโลกมีความไม่แน่นอน โดยราคาทองคำให้"ผลตอบแทน"เฉลี่ยที่ผ่านมา 4.3% ต่อปี แต่ว่าตั้งแต่ปลายปี 2562 ถึง ปัจจุบันผลตอบแทนทองคำอยู่ที่ราว 10% ซึ่งผลตอบแทนขนาดนี้คงหาได้ยากในภาวะแบบนี้

อย่างไรก็ตาม มองแนวโน้มราคาทองคำในปีนี้เป็นขาขึ้น แม้ว่าระยะสั้นอาจจะย่อตัวลงบ้าง แต่เชื่อว่าระยะยาวจะเป็นขาขึ้นแน่นอน ปัจจัยหนุนราคาทองคำหลายเรื่องทั้งการเจรจาการค้าที่แม้ว่าจะมีข้อตกลงกันได้เฟสแรก แต่ก็ยังมีการเจรจารอบอื่นๆ ที่ยังไม่แน่นอน , การใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของธนาคารสหรัฐฯ (เฟด) , ความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอย และปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ อาทิ ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่อาจยืดเยื้อและแรงกดดันของเกาหลีเหนือ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนกดดันหุ้นทั่วโลกให้ปรับฐาน และนักลงทุนจะย้ายมาถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำมากขึ้น

สำหรับ"กลยุทธ์"แนะนำลงทุนในทองคำในปีนี้ ให้ เพิ่มสินทรัพย์ประเภททองคำในพอร์ตฟอลิโอเป็น 20-30% และลดการถือครองหุ้นเหลือ 70-80% จากปี 2562 ที่แนะนำลงทุนในทองคำ 10% และลงทุนในหุ้น 90% หลังปัจจัยที่กระทบสินทรัพย์เสี่ยงยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

"พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์"ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG)บอกว่า ปัจจัยความตึงเครียดระหว่างอิหร่านกับสหรัฐถือเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อทิศทางราคาทองในปี 2563 สะท้อนผ่านหลังเกิดเหตุการณ์สังหารผู้นำระดับสูงของอิหร่าน ส่งผลให้ราคาทองคำทะยานขึ้นถึง 21.39 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือเพิ่มขึ้น 1.4% เมื่อวันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา สวนทางกับการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ ที่ปรับตัวลดลง

"ในปี 2563 ถือเป็นปีที่ตลาดทองคำมีความคึกคักเนื่องจากปัจจัยบวกหลายด้านจากความไม่แน่นอนทางสถานการณ์เศรษฐกิจโลกทำให้นักลงทุนหันมาถือสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงเช่นทองคำมากขึ้น"

ทั้งนี้ ประเมินว่า ราคาทองคำในปีนี้ยังคงเคลื่อนไหวในทิศทาง"ขาขึ้น"โดยมีโอกาสที่ราคาทองคำจะขยับขึ้นต่อเพื่อทดสอบระดับ 1,603-1,616 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 22,900-23,100 บาทต่อบาททองคำ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย. ปี 2556 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างอิหร่านกับสหรัฐทวีความรุนแรงขึ้นจะยิ่งเพิ่มโอกาสที่ราคาทองคำจะสามารถทะลุผ่านกรอบแนวต้านแรก

"แม้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะสนับสนุนแนวโน้มทองคำให้ปรับตัวขึ้น แต่ยังต้องระมัดระวังแรงขายทำกำไรที่จะสลับออกออกมาเป็นระยะ"

แต่ที่สำคัญ คือ นักลงทุนต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุนในสอดรับกับสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูง รวมถึงระมัดระวังแรงขายคำในระยะสั้นหากสถานการณ์ไม่ทวีความรุนแรงอย่างที่หลายฝ่ายวิตก

----------------------

นักลงทุนแห่ซื้อ"ทองพุ่ง"..!!

"ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล"ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำบอกว่า ดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำประจำเดือน ม.ค. 2563 ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือน ธ.ค. 2562 ที่ผ่านมา จากระดับ 55.24 จุด มาอยู่ที่ระดับ 63.15 จุด เพิ่มขึ้น 7.91 จุด หรือคิดเป็น 14.32 % โดยปัจจัยที่ทำให้ดัชนีฯ ปรับเพิ่มขึ้นนั้นมาจากปัจจัยหลักคือ สถานการณ์ในตะวันออกกลาง และ ความต้องการซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย

ดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำระยะสามเดือนในไตรมาสแรกของปี 2563 (ม.ค.-มี.ค.) ปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสสุดท้ายของปี 2562 จากระดับ 56.92 จุด มาอยู่ที่ระดับ 66.36 จุด เพิ่มขึ้น 9.44 จุด หรือคิดเป็น 16.59% โดยนักลงทุนคาดว่ามีปัจจัยมาจากความต้องการซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย ทิศทางราคาน้ำมัน และสถานการณ์สงครามการค้า ตามลำดับ

จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 312 ตัวอย่าง พบว่าร้อยละ 38.14 จะซื้อทองคำในช่วงเดือนนี้ ขณะที่ร้อยละ 35.58 คาดว่ายังไม่ซื้อทองคำ และร้อยละ 26.28 ไม่แน่ใจว่าจะซื้อทองคำหรือไม่

สรุป กลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ประกอบกิจการค้าทองคำรายใหญ่และผู้ประกอบกิจการนายหน้าซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ที่อ้างอิงกับราคาทองคำจำนวน 10 ตัวอย่าง เชื่อว่าราคาทองคำในเดือน มกราคม 2563 จะเพิ่มขึ้น มีจำนวน 7 ราย คาดว่าราคาทองคำจะใกล้เคียงกับราคาทองคำในเดือน ธันวาคม 2562 มีจำนวน 2 ราย และคาดว่าราคาทองคำจะลดลง มีจำนวน 1 ราย

สำหรับการคาดการณ์ราคาทองคำในเดือน มกราคม 2563 ของผู้ประกอบกิจการค้าทองคำรายใหญ่มีมุมมองดังนี้ Gold Spot ให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 1,502-1,586 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ ด้านราคาทองคำแท่งในประเทศความบริสุทธิ์ 96.5% ให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 21,500-22,600 บาทต่อน้ำหนัก 1 บาท ทองคำ และด้านค่าเงินบาทไทยให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 29.77-30.44 บาทไทยต่อดอลลาร์

สำหรับ การลงทุนทองคำในเดือน มกราคม 2563 ผู้ค้าทองคำรายใหญ่ ให้ความเห็นว่าราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมามีการดีดตัวขึ้นสูง หากมีแรงขายทำกำไรออกมา คาดว่าจะเป็นเพียงแรงขายในระยะสั้น โดยราคาทองคำมีโอกาสที่จะขยับขึ้นต่อ จึงแนะนำให้นักลงทุนรอจังหวะเข้าซื้อ เมื่อราคาทองคำย่อตัวลงมาใกล้บริเวณแนวรับ 1,498 และเพื่อลดความเสี่ยงควรตั้งจุดทำกำไรและตัดขาดทุนหากราคาทองคำไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์

-----------

"โกลด์ฟิวเจอร์ส"คึกคัก!

"ฐิภา นววัฒนทรัพย์"ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)บอกว่า จากกรณีความไม่แน่นอนสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ส่งผลให้นักลงทุนหันมาถือครองสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงอย่างทองคำมากขึ้น และความคึกคักนี้ยังได้รวมไปถึง"ตลาดสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า" (Gold Futures)ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้น

อีกทั้งปี 2563 ประเทศไทยจะมีการเปิดประมูล 5G ซึ่งก็จะสนับสนุนให้ระบบในการซื้อขายถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยล่าสุด YLG ได้พัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับการลงทุนใน Gold Futures ด้วยการนำระบบเทรด Metatrader 4 ( MT4) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมทั่วโลกสามารถส่งคำสั่งได้ทั้งระบบการเทรดมือ (Manual Trade) รวมถึงระบบเทรด (System Trading) หรือ Robot Trading

โดยระบบ MT4 มีเครื่องมือหลายอย่างที่จะช่วยนักลุงทุนทั้ง การส่งคำสั่งบนกราฟได้ (Trade on Chart) สำหรับการเทรดแบบ Manual โดยไม่ต้องเปลี่ยนหน้าจอสลับไปมา รวมถึงสามารถบริหารความเสี่ยง ด้วยการตั้งจุดตัดขาดทุน ( Stop Loss) และจุดทำกำไร (Take Profit) ได้ แม้เป็นคำสั่งที่ส่งไปรอไว้แต่ยังไม่เกิดการซื้อขายจริง ซึ่งฟังก์ชั่นนี้ถือว่ามีความสำคัญ สามารถรองรับการขยายเวลาซื้อขายของ TFEX Gold Futures ถึงเวลา 03.00 โดยนักลงทุนสามารถตั้งคำสั่งซื้อ-ขาย ทิ้งไว้ที่แนวรับหรือแนวต้าน

"การให้บริการบนแพลตฟอร์ม MT4 นี้ YLG ได้เปิดให้บริการกลางเดือน ม.ค. 2563 จากการพัฒนาครั้งนี้มั่นใจว่าจะช่วยเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดของ YLG ได้มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะเป็นบริการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์นักลงทุนรุ่นใหม่ในยุคดิจิทัล"

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0