ถึงแม้จะเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีมาตรการรับมือกับวิกฤตโควิด-19 ได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แต่ก็ยังคงพบจำนวนยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยตามข้อมูล ณ วันที่ 8 เม.ย. 2563 เผยจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศสิงคโปร์ อยู่ที่ 1,481 ราย รักษาหายแล้ว 377 ราย เสียชีวิต 6 ราย ทำให้รัฐบาลได้ออกมาตรการปิดเมืองไปจนถึงวันที่ 4 พฤษภาคม 2563 เป็นที่เรียบร้อย ทั้งยังออกมาตรการห้ามประชาชนที่ไม่ได้อยู่ในเคหะสถานเดียวกันพบปะกันไม่ว่าจะเป็นในสถานที่สาธารณะ รวมไปถึงที่พักส่วนตัว ไม่ว่าจำนวนผู้พบปะจะอยู่ที่กี่คนก็ตามอีกด้วย
โดยมาตรการห้ามพบปะกันนี้มีระยะเวลาถึง 6 เดือน และอาจจะมีการต่ออายุเพิ่มขึ้นไปอีก 6 เดือน สำหรับผู้ฝ่าฝืนมีสิทธิ์โดนปรับ 10,000 เหรียญสิงคโปร์ รวมไปถึงจำคุก 6 เดือน และมีการยกเว้นไว้แค่กรณีผู้สูงอายุ หรือการดูแลเด็ก ซึ่งหากมีปริมาณผู้ติดเชื้อลดลงก็อาจมีการยกเลิกได้
แต่ผลกระทบอย่างหนึ่งที่ตามมาจากการปิดเมืองครั้งหนีคงหนีไม่พ้นแรงงานในภาคธุรกิจทั่วประเทศ ซึ่งล่าสุดทางนายเฮ็ง สวี คีต (Heng Swee Keat) รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสิงคโปร์ ได้ออกประกาศระหว่างการประชุมสภาว่ารัฐบาลสิงคโปร์จะเพิ่มเงินช่วยเหลือบริษัทต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 เพื่อให้ยังสามารถจ้างพนักงานต่อไปได้
โดยเป็นแผนงบประมาณที่เรียกว่า “Solidarity Budget” ซึ่งเป็นแผนอุ้มเศรษฐกิจชุดที่ 3 ที่จะมีการใช้เม็ดเงินมูลค่า 5,100 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ไปชดเชยให้กับพนักงานในทุกภาคธุรกิจของประเทศตั้งแต่เดือนเมษายนนี้เป็นต้นไป ซึ่งจะนับที่ค่าเงินเดือนเฉลี่ยของคนสิงคโปร์ที่ 4,600 ดอลลาร์ หรือประมาณ 100,000 บาท
ทั้งนี้เงินชดเชยค่าจ้างจะแตกต่างกันไปตามผลกระทบที่ภาคธุรกิจต่างๆ ได้รับ โดยธุรกิจที่ได้รับผลกระทบสูงที่สุดอย่างการท่องเที่ยวจะได้รับเงินชดเชยค่าจ้าง 75% ตามมาด้วยธุรกิจร้านอาหาร 50% ส่วนบริษัทในภาคส่วนอื่นๆ นั้นจะได้รับเงินชดเชยค่าจ้าง 25% ขึ้นไปแน่นอน
ซึ่งจากการประเมินพบว่าพนักงานในบริษัททั่วสิงคโปร์จะได้รับเงินชดเชยจากรัฐบาลในครั้งนี้อยู่ที่ประมาณ 1.9 ล้านคน ทั้งยังเตรียมขยายแผนดังกล่าวให้ครอบคลุมถึงฟรีแลนซ์ และอาจเพิ่มเงินค่าเลี้ยงดูบุตรสำหรับแรงงานที่มีภาระด้านการดูแลบุตรด้วย
