โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

"สงครามดอกกุหลาบ" ชิงอำนาจ-ทรยศ-แปรพักตร์ ต้นเค้าซีรีส์ดัง Game of Thrones

ศิลปวัฒนธรรม

อัพเดต 06 ธ.ค. 2566 เวลา 03.00 น. • เผยแพร่ 04 ธ.ค. 2566 เวลา 06.57 น.
ภาพปก – สงครามดอกกุหลาบ
สงครามดอกกุหลาบ ราชวงศ์แลงคาสเตอร์ ราชวงศ์ยอร์ก ชิง ราชบัลลังก์ อังกฤษ

Game of Thrones ซีรีส์ชื่อดังแห่งยุค กับต้นเค้าที่มาจากเรื่องจริง “สงครามดอกกุหลาบ” ในศตวรรษที่ 15 ที่มีทั้งการแย่งชิงอำนาจ ทรยศ แปรพักตร์!

สงครามดอกกุหลาบ (War of The Roses) เป็นสงครามแย่งชิงราชบัลลังก์ของอังกฤษ ระหว่างราชวงศ์แลงคาสเตอร์ (House of Lancaster) กับราชวงศ์ยอร์ก (House of York) ระหว่าง ค.ศ. 1455-1485 เหตุที่เรียก สงครามดอกกุหลาบ เนื่องจากราชวงศ์แลงคาสเตอร์ใช้ดอกกุหลาบสีแดงเป็นสัญลักษณ์ ส่วนราชวงศ์ยอร์กใช้ดอกกุหลาบสีขาว

สงครามดอกกุหลาบ กับสิทธิ์เหนือราชบัลลังก์

พระเจ้าเฮนรีที่ 6 (Henry VI) จากราชวงศ์แลงคาสเตอร์ เป็นกษัตริย์ผู้ครองบัลลังก์อังกฤษช่วงสงครามปะทุ พระองค์เป็นคนหัวอ่อนและถูกครอบงำโดยข้าราชบริพารและขุนนางบางกลุ่มที่มุ่งแสวงหาผลประโยชน์ให้พวกตน รัชสมัยของพระองค์เป็นช่วงท้ายของ “สงครามร้อยปี” ระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส ซึ่งอังกฤษสูญเสียผลประโยชน์อย่างมาก โดยเฉพาะดินแดนบนแผ่นดินใหญ่ในทวีปยุโรป ขุนนางฝ่ายหนึ่งโจมตีเรื่องนี้ว่า เป็นเหตุมาจากนโยบายที่ผิดพลาดของกษัตริย์และขุนนางฝ่ายตรงข้ามพวกตน ซึ่งได้สร้างความไม่พอใจเป็นวงกว้าง

ขุนนางเริ่มแก่งแย่งอำนาจกัน ในขณะที่พระเจ้าเฮนรีที่ 6 เป็นกษัตริย์ที่อ่อนแอ ไร้ประโยชน์ และมีปัญหาทางด้านสภาพจิตใจที่ไม่ปกติ ทำให้ราชวงศ์ขาดความมั่นคงและควบคุมการบริหารประเทศได้ยากลำบาก อีกทั้ง พระราชินีมาร์กาเร็ต (Margaret of Anjou) ก็ยังไม่มีพระโอรสเพื่อสืบราชบัลลังก์ จึงเกิดความวิตกกังวลในเรื่องผู้สืบราชบัลลังก์ และมีผู้อ้างสิทธิ์หากพระเจ้าเฮนรีที่ 6 สวรรคต ได้แก่ เอ็ดมุนด์แห่งตระกูลโบฟอร์ต (Edmund Beaufort) และ ริชาร์ดแห่งยอร์ก (Richard of York)

เมื่อถึง ค.ศ. 1453 ริชาร์ดแห่งยอร์ก อ้างสิทธิ์เป็นผู้พิทักษ์ราชบัลลังก์และผู้สำเร็จราชการ เขาได้รับการสนับสนุนและได้รับความนิยมจากประชาชน แต่ไม่นานพระราชินีมาร์กาเร็ตก็มีประสูติการพระโอรสนามว่า เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดแห่งเวสมินส์เตอร์ (Edward of Westminster)

จากนั้น พระเจ้าเฮนรีที่ 6 โดยการช่วยเหลืออย่างแข็งขันของพระราชินีมาร์กาเร็ต ผู้นำของฝ่ายแลงคาสเตอร์ทางพฤตินัย พยายามสร้างพันธมิตรและเรียกคืนพระราชอำนาจ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะริชาร์ดแห่งยอร์กกุมอำนาจไว้ได้เหนือกว่า พระราชินีมาร์กาเร็ตจึงปลุกเร้าให้ผู้สนับสนุนราชวงศ์แลงคาสเตอร์ขึ้นมาต่อต้านริชาร์ดแห่งยอร์ก

การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายเป็นไปอย่างดุเดือด ต่างสะสมกำลังกันทั่วประเทศ ฝ่ายแลงคาสเตอร์มีที่มั่นทางตอนเหนือของอังกฤษ และผลัดกันแพ้ชนะเสมอ ฝ่ายแลงคาสเตอร์พยายามบุกยึดกรุงลอนดอน แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ และต้องถอนกำลังกลับสู่ที่ตั้งมั่นทางตอนเหนือของอังกฤษ ค.ศ. 1460

กระทั่งรัฐสภาได้พิจารณาเรื่องสืบราชบัลลังก์ โดยยอมรับการอ้างสิทธิ์ของราชวงศ์ยอร์ก แต่จากเสียงส่วนใหญ่เห็นสมควรว่า พระเจ้าเฮนรีที่ 6 ควรดำรงตำแหน่งกษัตริย์ต่อไป

ทั้งได้ออกพระราชบัญญัติแอคคอร์ด (Act of Accord) ซึ่งยอมรับว่า ริชาร์ดแห่งยอร์กเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของพระเจ้าเฮนรีที่ 6 โดยตัดสิทธิ์ เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด พระโอรสของพระเจ้าเฮนรีที่ 6 ออกจากราชบัลลังก์ ริชาร์ดแห่งยอร์กยอมรับข้อตกลงนี้ เพราะเห็นว่าเป็นข้อเสนอที่ดีที่สุด เขาเป็นผู้พิทักษ์อาณาจักรและราชบัลลังก์ แต่ก็ยังมีอำนาจ สามารถปกครองประเทศในนามของพระเจ้าเฮนรีที่ 6 ได้ต่อไป

พระราชินีมาร์กาเร็ตและพระโอรสหนีไปเวลส์ และขอความช่วยเหลือจากพวกสก็อต โดยแลกผลประโยชน์เป็นเมืองบางแห่งทางตอนเหนือของอังกฤษคืนให้กับสก็อตแลนด์ ฝ่ายแลงคาสเตอร์จึงได้ยึดที่มั่นทางตอนเหนือของอังกฤษไว้ สำหรับต่อต้านและเรียกคืนราชบัลลังก์ กองทัพฝ่ายยอร์กยกทัพบุกโจมตีใน “สมรภูมิเวคฟีลด์” (Battle of Wakefield) แต่นั่นทำให้ริชาร์ดแห่งยอร์กเสียชีวิตในสนามรบ ราว ค.ศ. 1461

เอ็ดเวิร์ด เอิร์ลแห่งมาร์ช จากราชวงศ์ยอร์ก (Edward, Earl of March) ได้อ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์อังกฤษ เนื่องจากเป็นบุตรชายคนโตของริชาร์ดแห่งยอร์ก ฝ่ายแลงคาสเตอร์ที่นำโดยพระราชินีมาร์กาเร็ตก็ยกทัพจากเหนือมุ่งสู่ลอนดอน ระหว่างทางก็บุกปล้นสะดมจนสร้างความหวั่นเกรงให้กับชาวใต้อย่างมาก ทำให้ เอ็ดเวิร์ด เอิร์ลแห่งมาร์ช เป็นเหมือนผู้นำในยามวิกฤต และได้รับการยอมรับจากขุนนางและประชาชนในกรุงลอนดอนมากยิ่งขึ้น

เอ็ดเวิร์ด เอิร์ลแห่งมาร์ช มีชัยชนะใน “สมรภูมิทาวทัน” (Battle of Towton) มีทหารรวมกันราว 40,000–80,000 คน โดยมีผู้ชายมากกว่า 20,000 คนถูกฆ่าตายระหว่างการสู้รบ ผู้นำฝ่ายแลงคาสเตอร์เสียชีวิตไปเกือบทั้งหมด และมีบางส่วนหันไปสวามิภักดิ์กษัตริย์องค์ใหม่ คือ เอ็ดเวิร์ด เอิร์ลแห่งมาร์ช ที่ปราบดาภิเษกเป็น พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 (Edward IV) ส่วนพระเจ้าเฮนรีที่ 6 และพระราชินีมาร์กาเร็ตก็หนีขึ้นไปทางเหนืออีกครั้ง

ยามกุหลาบหลอมรวม

พระเจ้าเฮนรีที่ 6 สูญเสียพระราชอำนาจอย่างสิ้นเชิง พระองค์พร้อมพระราชินีมาร์กาเร็ตหนีไปราชสำนักสก็อตแลนด์ และยังคงยึดมั่นอยู่ทางเหนือของอังกฤษ แต่เมื่อขุนนางฝ่ายแลงคาสเตอร์ก่อกบฏขึ้นหลายครั้ง พระเจ้าเฮนรีที่ 6 ก็ถูกจับกุมตัวใน ค.ศ. 1464 และถูกนำตัวไปขัง ณ หอคอยแห่งลอนดอน แต่ได้รับการปฏิบัติอย่างดีพอสมควร แม้จะมีความพยายามของฝ่ายแลงคาสเตอร์ที่นำโดยพระราชินีมาร์กาเร็ตในการฟื้นฟูราชบัลลังก์ให้พระเจ้าเฮนรีที่ 6 แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 สามารถเจรจากับฝ่ายสก็อตแลนด์ได้ จนฝ่ายสก็อตแลนด์บังคับให้พระราชินีมาร์กาเร็ตและพระโอรสลี้ภัยไปอยู่ฝรั่งเศส

ขณะที่ที่มั่นสุดท้ายของฝ่ายแลงคาสเตอร์อยู่ที่ปราสาทฮาร์เลช (Harlech) ในเวลส์ และได้ยอมจำนนในปี ค.ศ. 1468 หลังจากการปิดล้อมนานกว่าเจ็ดปี อย่างไรก็ตาม อังกฤษภายใต้กษัตริย์พระองค์ใหม่ก็ไม่ได้ทำให้บ้านเมืองสงบสุขอยู่ดีกินดีแตกต่างจากเดิมเท่าใดนัก ความนิยมทั่วไปของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 เริ่มลดน้อยลง เนื่องจากมีการเก็บภาษีที่สูงขึ้น การหยุดชะงักของการออกกฎหมาย และความสงบที่ยังไม่เรียบร้อยดีนัก

ริชาร์ด เนวิลล์ เอิร์ลแห่งวอร์วิค (Richard Neville, Earl of Warwick) ขุนนางผู้ทรงอำนาจ และเป็นเสมือนผู้ช่วยคนสำคัญ ที่ทำให้พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 ได้ขึ้นครองราชย์ เขาทรยศกษัตริย์ของตนเองเนื่องจากเกิดความหมางใจหลายประการที่พระราชินีเอลิซาเบธในพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 ใช้อำนาจสนับสนุนคนของตระกูลพระนางให้มีอำนาจมาก จนทำให้ตระกูลของริชาร์ด เนวิลล์ ค่อย ๆ เสื่อมอำนาจลง

ริชาร์ด เนวิลล์ และกองกำลังฝ่ายแลงคาสเตอร์ที่บางส่วน (ที่เคยหันไปสวามิภักดิ์พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4) กลับมาร่วมมือกัน เพื่อล้มราชบัลลังก์พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 และยังได้ร่วมมือกับพระราชินีมาร์กาเร็ต ที่อาศัยการช่วยเหลือจากฝรั่งเศสอีกแรงด้วย แม้จะขับไล่พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 ออกไปได้ จนพระองค์ต้องลี้ภัยไปที่เบอร์กันดีทางตอนเหนือของฝรั่งเศส ใน ค.ศ. 1470 แต่จากนั้นไม่นาน พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 ก็กลับสู่อังกฤษ ใน “สมรภูมิแห่งบาร์เน็ต” (Battle of Barnet) เมื่อ ค.ศ. 1471

ฝ่ายยอร์ก นำโดยพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 ได้รับชัยชนะเบ็ดเสร็จ และสามารถสังหารริชาร์ด เนวิลล์ ได้ และก่อนหน้าสมรภูมินี้จะเกิดขึ้นไม่กี่วัน พระราชินีมาร์กาเร็ตและเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด รัชทายาทของพระเจ้าเฮนรีที่ 6 ก็เดินทางเข้ามายังเกาะอังกฤษ เพื่อช่วยฝ่ายแลงคาสเตอร์สู้รบ

ทว่าใน “สมรภูมิทูกส์เบอรี” (Battle of Tewkesbury) ฝ่ายพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 มีชัยชนะ และสามารถสังหารเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด ส่วนพระราชินีมาร์กาเร็ตถูกจับไปคุมขังที่หอคอยแห่งลอนดอน และไม่นานจากนั้นพระเจ้าเฮนรีที่ 6 ก็ถูกประหาร ทำให้ราชวงศ์แลงคาสเตอร์สายตรงเป็นอันสิ้นสุดลง

กระทั่ง ค.ศ. 1483 พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 สวรรคตอย่างกะทันหัน พระโอรสได้ขึ้นปกครองต่อนามว่า พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 5 แต่ ริชาร์ด ดยุกแห่งกลอสเตอร์ (Richard, Duke of Gloucester) น้องชายของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 ได้เข้ามาอ้างสิทธิ์เหนือราชบัลลังก์ โดยกล่าวหาว่า การเสกสมรสระหว่างพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 และพระราชินีเอลิซาเบธเป็นการเสกสมรสที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ฉะนั้นโอรสทั้งสองพระองค์จึงเป็นลูกนอกสมรสและไม่มีสิทธิในราชบัลลังก์

จากนั้นริชาร์ด ดยุกแห่งกลอสเตอร์ จึงกำจัดพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 5 ที่ยังทรงพระเยาว์ออกไป โดยเป็นปริศนาถึงทุกวันนี้ว่าไม่ทราบชะตากรรมคือ “หายไปอย่างไร้ร่องรอย” และขึ้นครองราชย์สืบต่อเป็น พระเจ้าริชาร์ดที่ 3

เฮนรีแห่งทิวเดอร์ (Henry Tudor) อ้างสิทธิ์ในฐานะผู้สืบสิทธิ์ทางราชวงศ์แลงคาสเตอร์ ได้นำกองทัพบดขยี้ฝ่ายยอร์กของพระเจ้าริชาร์ดที่ 3 ณ “สมรภูมิบอสเวิร์ท” (Battle of Bosworth) ใน ค.ศ. 1485 และพระเจ้าริชาร์ดก็สวรรคตในการรบครั้งนั้น

เฮนรีแห่งทิวเดอร์ จึงปราบดาภิเษกเป็น พระเจ้าเฮนรีที่ 7 (Henry VII) แห่งราชวงศ์ทิวเดอร์ โดยสมรสกับเจ้าหญิงเอลิซาเบธแห่งยอร์ก (Elizabeth of York) พระธิดาในพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 เพื่อเป็นการปรองดองระหว่างสองราชวงศ์ อย่างไรก็ตาม พระเจ้าเฮนรีที่ 7 ยังคงต้องปราบกบฏผู้อ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์ต่อไปอีกสิบปี จนสามารถคุมอำนาจได้ไว้ทั้งหมด และผู้ที่พยายามอ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์ก็หมดอำนาจจะต่อกรต่อราชวงศ์ใหม่ได้อีกต่อไป

พระเจ้าเฮนรีที่ 7 รวมสัญลักษณ์ของสองราชวงศ์คือกุหลาบแดงแห่งราชวงศ์แลงคาสเตอร์ และกุหลาบขาวแห่งราชวงศ์ยอร์ก เป็นสัญลักษณ์ใหม่คือ “กุหลาบทิวเดอร์” ที่มีทั้งสีแดงและขาวในดอกเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ราชวงศ์ยอร์กใช้สัญลักษณ์ดอกกุหลาบขาวก่อนสงครามจะเกิด ทว่าราชวงศ์แลงคาสเตอร์เพิ่งจะนำดอกกุหลาบสีแดงมาใช้ ภายหลังจากพระเจ้าเฮนรีที่ 7 มีชัยในสมรภูมิบอสเวิร์ท

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่

เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 20 พฤษภาคม 2562

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0