โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ม.3 ลวงน้อง ป.3 ล่วงละเมิด พ่อวิ่ง 'อบต.-กำนัน' เคลียร์ปิดข่าว

Thairath - ไทยรัฐออนไลน์

อัพเดต 25 ม.ค. 2563 เวลา 08.48 น. • เผยแพร่ 25 ม.ค. 2563 เวลา 08.51 น.
ภาพไฮไลต์
ภาพไฮไลต์

เกิดเหตุสลดขึ้นในโรงเรียนแห่งหนึ่งในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก หลังผู้ปกครองร้องเพจดัง "บิ๊กเกรียน" ให้ช่วยเหลือ หลังลูกชายนักเรียน ป.3 ถูกรุ่นพี่ชาย ม.3 โรงเรียนเดียวกัน หลอกไปรีสอร์ตร้างข้างโรงเรียน ก่อนทำการล่วงละเมิดทางเพศ จนได้รับบาดเจ็บ ต้องนำส่ง รพ.นครนายก ขณะที่ทางโรงเรียนทราบเรื่อง พยายามปกป้องชื่อเสียงโรงเรียนโดยให้ครูที่ทราบเรื่องทุกคน ห้ามพูดเรื่องที่เกิดขึ้น ขณะที่ ส.จ. ยื่นมือเข้าช่วย บอกไม่ตัดสินกับสิ่งที่เกิดขึ้น

หลังจากที่ผู้สื่อข่าวทราบเรื่อง ได้ติดต่อกับ ส.จ.จังหวัดนครนายก ที่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นหลังผู้ปกครองเด็กนักเรียนชั้น ป.3 ถูกกระทำเข้าขอความช่วยเหลือเนื่องจากเกรงกลัวนายก อบต.และอดีตกำนัน ในพื้นที่ที่ทางผู้ปกครองเด็ก ม.3 วิ่งเต้นให้มาไกล่เกลี่ย เพื่อให้ถอนแจ้งความ โดย ส.จ.บอกว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 2 วันก่อน (23 ม.ค.) ช่วงเวลา 17.00-18.00 น. โดยผู้ปกครองเด็ก ป.3 ที่ถูกกระทำได้โทรมาหาตนว่า ลูกชายถูกล่วงละเมิดทางเพศ จากรุ่นพี่เด็กชายชั้น ม.3 โรงเรียนเดียวกัน ว่าจะสามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่ไหน จึงได้ให้ไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนครนายก พร้อมนำลูกชายไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลนครนายก จากนั้นไม่นานมีครูจากโรงเรียนของเด็กโทรมาหาตน ขอให้ตนพูดกับเด็กและผู้ปกครองเด็กชาย ป.3 ว่าอย่าให้เป็นเรื่อง ซึ่งตนเข้าใจว่าหากเกิดเรื่องย่อมส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ทั้งโรงเรียนและแม้กระทั่งตัวเด็กทั้งสองคน แต่ตนได้บอกไปว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิด และที่สำคัญตนเองไม่สามารถไปบังคับจิตใจคนเป็นพ่อเป็นแม่เด็กที่ถูกกระทำไม่ได้เพราะตนก็มีลูก จึงได้ปฏิเสธคำขอจากครูที่โทรมาหาตน จนกระทั่งเมื่อวานตนได้โทรไปหาผู้ปกครองเด็ก ป.3 ทราบว่าเด็กได้ตรวจร่างกายและรับการรักษาตัว

ทั้งนี้ ส.จ.ได้บอกกับผู้ปกครอง และเด็ก ป.3 ว่า ถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด เพราะอย่างแรกต้องยอมรับให้ได้ก่อน ซึ่งถ้าเราไม่รู้จักถูกผิด ชีวิตนี้ก็จะทำอะไรไม่ได้แล้ว และหลังจากนั้นปัญหาที่เกิดขึ้นก็มาช่วยกันแก้ไข ซึ่งตนไม่ว่าเด็กชั้น ม.3 ผิด แต่ตนมองว่าเด็ก ม.3 อาจได้รับการดูแลอย่างไรไม่ทราบ อาจจะมีปัญหาด้วยตัวเค้าเอง ซึ่งปัญหาเกิดขึ้นเราจะต้องหาคนเข้าไปช่วยแก้ปัญหาเด็ก อย่างเช่นเข้าไปช่วยฟื้นฟูปรับปรุงจิตใจว่าสิ่งที่ได้ทำลงไปนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เด็ก ม.3 ยังสามารถที่จะพัฒนาและสามารถดูแลได้อีก แต่ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่จะหาคนนั้นคนนี้เข้ามาเคลียร์เรื่องที่เกิดขึ้น

ตรงนี้ตนไม่เห็นด้วย เรื่องนี่ไม่ใช่เรื่องที่จะมานั่งเคลียร์กัน แต่มันคือความรู้สึกของคนเป็นพ่อเป็นแม่รวมถึงตัวเด็กทั้ง 2 ฝ่าย และก็ยืนยันว่าตนไม่ได้ว่าใครผิด ซึ่งเด็กนั้นมีผิดมีถูกอยู่แล้ว แต่ด้วยสามัญสำนึกแล้ว ผู้ใหญ่ต้องปลูกฝังให้เด็กได้รู้จักผิดรู้จักถูก และขัดเกลาให้เค้ากลับมาใช้ชีวิตปกติในสังคมได้นั้นคือสิ่งที่ดีกว่าที่จะไปไปนั่งเคลียร์คดีกัน ทั้งนี้เรื่องทั้งหมดขึ้นอยู่กับผู้ปกครอง และตัวเด็กของทั้งสองฝ่าย

ในส่วนที่โรงเรียนพยายามปิดข่าวนั้น ตนมองว่าเด็ก ป.3 อายุประมาณ 9 ขวบ และเด็ก ม.3 อายุประมาณ 15 ปี ซึ่งเด็กทั้งสองยังมีอายุต่อไปอย่างน้อยก็ 40 ปีที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในสังคม คาดว่าการปิดข่าวนั้นอาจจะช่วยเด็กได้ส่วนหนึ่งที่จะให้เด็กทั้งสองใช้ชีวิตต่อไปในสังคมต่อไปได้โดยไม่ถูกรังแก หรือ Bully ที่กล่าวมาเป็นความคิดส่วนตัวตน แต่ตนไม่รู้ว่าทางโรงเรียนนั้นคิดอย่างไร หากมองในมุมว่าหากมีการเคลียร์เรื่องที่เกิดขึ้น ยกตัวอย่างที่ตนเคยช่วยเหลือหลายๆ เคสที่ผ่านมาพอช่วยเหลือไปครั้งแรก ครั้ง 2 และพอเกิดขึ้นครั้งที่ 3 ตนก็ไม่ช่วย ถูกมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเราต้องให้เค้าได้รู้ว่าสิ่งที่กระทำลงไปนั้นคือสิ่งที่ผิด จากนั้นก็ค่อยมาว่ากัน ในการเยียวยาสภาพจิตใจ ร่วมไปถึงเรื่องอื่นๆ ที่ตามมาในการช่วยเหลือ

"ขอฝากถึงสังคมโซเชียลที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยใช้ถ้อยคำที่รุนแรง เข้าใจว่ามันคืออารมณ์แต่อยากให้ตั้งสติสักนิด และมองไปว่าเด็กทั้ง 2 คนนั้นในอนาคตจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร อยากให้มองว่าเราจะช่วยเด็กทั้ง 2 คนใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน และอนาคตโดยไม่โดนสังคมมารุมประณาม เพราะเชื่อว่าหากคนเราทำผิดได้ก็ต้องทำถูกได้ และไม่มีใครที่จะทำผิดไปตลอดเวลา"

อย่างที่ 2 ถึงครูและโรงเรียน หากเกิดปัญหาขึ้นจะต้องช่วยกันแก้ไข ไม่ใช่การเรียกแต่ละฝ่ายเข้ามาคุยไกล่เกลี่ยเคลียร์ยอมความกันกับความผิดที่เกิดขึ้นซึ่งมันไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหา และหากมองในระยะยาวมันแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้

และอย่างที่ 3 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อยากให้เข้ามาช่วยเหลือเด็กทั้งสองคน เพราะเชื่อว่าเด็กชั้น ม.3 ที่ก่อเหตุอาจมีปัญหาส่วนตัว ไม่มีใครสนใจเค้าหรือเปล่า หรืออาจอาจมีความบกพร่องทางจิตใจ ซึ่งหากมีการช่วยเหลือรับฟังเยียวยาจิตใจ พูดคุยปรับความเข้าใจรวมไปถึงทัศนคดีของเค้าได้ ตนเชื่อว่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าการลงโทษด้วยการใช้ความรุนแรง ส่วนเด็กที่ถูกกระทำตอนนี้มีหลายหน่วยงานได้เข้ามาไปดูแล

ทั้งนี้เมื่อเช้าได้คุยกับผู้ปกครองเด็ก ป.3 ที่ถูกกระทำหากเด็กและครอบครัวรู้สึกไม่ดี และอยากย้ายโรงเรียนผมก็ยินดีเป็นธุระช่วยเหลือในเรื่องหาโรงเรียนให้เด็ก ป.3 เพราะตนรู้สึกว่าน่าจะเป็นทางที่ดีทีสุดที่เด็กจะได้ไม่ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมเก่าๆ หรือถูกเพื่อนล้อ เพราะสองวันที่ผ่านมาได้เกิดผลกระทบต่อพี่ชายเด็ก ป.3 ที่ถูกเพื่อนในโรงเรียนล้อสิ่งที่เกิดขึ้นกับน้องชาย และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นและจะกลายเป็นปมด้อยในใจของเด็ก.

ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง

ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0