โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

กีฬา

มองหน้าไม่แลหลัง : เอฟเวอร์ตัน ทีมคนรวยลืมตัวที่ได้ ‘ดันแคน เฟอร์กูสัน’ เข้ามาเรียกสติ

Main Stand

อัพเดต 19 ธ.ค. 2562 เวลา 11.33 น. • เผยแพร่ 13 ธ.ค. 2562 เวลา 17.00 น. • ชยันธร ใจมูล

เมื่อร่ำรวยและชีวิตถึงขาขึ้น คนเรามักจะหลงระเริงกับความสุขนั้นมากเกินไป พยายามทำตัวเองให้ดูดี ยกระดับขึ้นมาให้ทัดเทียมกับคนที่เราได้เฝ้ามองเมื่อในอดีต จนลืมไปว่าแท้จริงแล้วเรามาจากจุดไหน และตัวตนที่แท้จริงของเรานั้นเป็นอย่างไร

 

ในโลกฟุตบอลเองก็เช่นกัน เอฟเวอร์ตัน ใช้เงินมือเติบเหยียบ 300 ล้านปอนด์นับตั้งแต่ ฟาฮัด โมชิรี่ เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสร โดยมีเป้าหมายในการเบียดท็อป 6 ร่วมกับ ลิเวอร์พูล, แมนฯ ซิตี้, เชลซี, แมนฯ ยูไนเต็ด, สเปอร์ส และ อาร์เซน่อล

ทว่ายิ่งไล่ตามยิ่งห่างไกลออกไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายลูกพี่ใหญ่อย่าง ดันแคน เฟอร์กูสัน ก็เข้ามารับเผือกร้อน และมอบบทเรียนบางอย่างให้ตาสว่างอย่างพร้อมเพียง

 

เอฟเวอร์ตันในเวอร์ชั่นคนรวย

บางสโมสรก็มีวัฒนธรรมและสไตล์ที่ฝังรากลึกมาอย่างยาวนาน และยากที่จะเปลี่ยนได้ในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน…

Photo : www.liverpoolecho.co.uk

เอฟเวอร์ตัน คือสโมสรเก่าแก่จากอังกฤษที่ภาพจำของคอบอลทั่วโลกคือการเป็นทีมนักสู้ รวมพลด้วยการใช้นักเตะในสหราชอาณาจักรเป็นแกนหลักของทีม เล่นฟุตบอลในสไตล์อังกฤษขนานแท้ รวดเร็ว หนักหน่วง และ ไม่เคยกลัวใคร  

ทว่าเมื่อวันเวลาผ่านไปพวกเขาพยายามที่จะเปลี่ยนลายเซ็นนี้ ด้วยการหวังที่จะทำให้ทีม เป็นทีมที่เล่นฟุตบอลสมัยใหม่ เน้นครองบอล และการเข้าทำที่มีชั้นเชิง โดยเฉพาะในช่วงที่ ฟาฮัด โมชิรี่ เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เขามีเงินซื้อนักเตะมากมาย และเขาต้องการที่จะทำให้ทีม ไปในทิศทางเช่นนั้น 

"เราจะทำให้ เอฟเวอร์ตัน กลายเป็นทีมหัวแถวของตอนเหนือ เป็นฮอลลีวูดแห่งใหม่ของวงการฟุตบอล เราอยากจะได้ผู้นำอย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า,โชเซ่ มูรินโญ่ และ เจอร์เก้น คล็อปป์ เราต้องการไปยืนแถวหน้าอย่างนั้น เรามีงบดุลที่ยืดหยุ่นมาก เราไม่มีข้อจำกัดในการใช้จ่าย หากผู้จัดการทีมอยากได้ใครผมจะสนับสนุนเขาเต็มที่" ฟาฮัด โมชิรี่ ว่าไว้ในตอนที่ซื้อสโมสรในช่วงปี 2017

และเขาก็ทำจริงตามสิ่งที่ต้องการ เขาเลือกเอา โรนัลด์ คูมันน์ เข้ามาทำทีมพร้อมอัดงบมหาศาลและได้นักเตะค่าตัวแพงมาร่วมทีมมากมายทั้ง กิลฟี่ ซิเกิร์ดสัน, ดาวี่ คลาสเซ่น และ เวย์น รูนี่ย์ เป็นต้น ซึ่งการซื้อตัวนักเตะลักษณะนี้บอกได้เป็นอย่างดีว่า เอฟเวอร์ตัน จะทำทีมให้มีคลาสด้วยนักเตะแถวหน้าของยุโรป ซึ่งว่ากันตามตรงแล้วมันเป็นแนวทางที่แตกต่างจากช่วง 10-15 ปีที่แล้วอย่างสิ้นเชิง

ยกตัวอย่างง่ายๆ ในยุคของ เดวิด มอยส์ อดีตผู้จัดการทีมคนดัง ผู้เล่นตัวหลักของ เอฟเวอร์ตัน ที่เขานำมาประกอบร่างให้กลายเป็นทีมระดับลุ้นท็อป 5 ท็อป 6 ของลีกนั้นเป็นนักเตะที่ไม่ได้มีค่าตัวแพงอะไรนัก นอกจาก มารูยาน เฟลไลนี่ ที่มีค่าตัวเกิน 15 ล้านปอนด์แล้ว นักเตะคนอื่นๆ ซื้อมาในราคาไม่แพง แถมกลายเป็นขวัญใจแฟนบอลของ “เดอะ ทอฟฟี่” จนถึงทุกวันนี้ทั้ง โจเซป โยโบ, ซิลแว็ง ดิสแต็ง, มิเกล อาร์เตต้า, ฟิล จากีลก้า, เลย์ตัน เบนส์, ยาคูบู อเย็กบินี่, เชมุส โคลแมน และ ทิม เคฮิลล์ 

Photo : www.theguardian.com

นักเตะที่ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น ก่อนจะย้ายมาร่วมทีมท็อฟฟี่สีน้ำเงินมีสถานะเป็นผู้เล่นที่ใช้งานไม่ได้ของทีมใหญ่ หรือไม่ก็ดาวเด่นของทีมเล็กๆ ซึ่งมอยส์ ก็จับมาใส่ในระบบของเขาที่ใครเห็นก็ต้องร้องอ๋อ เรียกง่ายๆ ว่านักเตะเอฟเวอร์ตันในยุคนั้นจะจิ้มใครมาใส่ปลอกแขนกัปตันทีมก็สามารถทำได้แบบไม่เคอะเขินเลยทีเดียว และทีมๆ นี้เคยจบท็อป 4 มาแล้ว

กลับมาที่อีก 10 ปีให้หลังในยุคของ โรนัลด์ คูมันน์ นักเตะที่ซื้อมาในชุดนั้นแทบไม่มีใครการันตีตัวจริงและกลายเป็นผู้เล่นที่เด่นจนชนิดที่ว่าทีมขาดไม่ได้เลย จนสุดท้ายผลงานก็ล้มเหลวและโดนไล่ออกไป 

จนกระทั่งมาถึงคิวของกุนซือใหม่อย่าง มาร์โก ซิลวา เขามีงบประมาณเสริมทีมมากมายตั้งแต่ฤดูกาล 2018-19 ที่รับงานครั้งแรก ได้ตัวนักเตะที่ค่าตัวแพงอย่าง ริชาร์ลิซอน, เยรี่ มิน่า, ลูก้า ดีญ, อังเดร โกเมส และ รวมถึงตัวที่เพิ่งเข้ามาในฤดูกาลนี้อย่าง อเล็กซ์ อิโวบี้ และ มอยเซ่ คีน ซึ่งจากรายชื่อทั้งหมดที่กล่าวมา เอฟเวอร์ตัน เสียเงินไปมากเกือบๆ 200 ล้านปอนด์เลยทีเดียว และจากรายชื่อทั้งหมดนี้ก็เป็นนักเตะจากทีมที่ซื้อมาจากทีมใหญ่เกือบทั้งนั้น 

Photo : bestchoicesports.com.ng

การซื้อตัวนักเตะที่มีคลาสและมีชื่อเสียงในระดับหนึ่ง แสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยานที่จะพาทีมก้าวไปอีกขั้น เหมือนกับว่า เอฟเวอร์ตัน ต้องการหนีเงาของตัวเอง เพื่อไปเป็นสิ่งที่คนอื่นบอกว่าดี นั่นคือการเล่นแบบ "ฟุตบอลสมัยใหม่" รับทั้งทีม รุกทั้งทีม เข้าทำแบบมีสไตล์อะไรทำนองนั้น ซึ่งแน่นอนว่ากับ เอฟเวอร์ตัน มันล้มเหลวโดยสิ้นเชิง หากใครได้ชมเกมการแข่งขันของ เอฟเวอร์ตัน โดยเฉพาะในฤดูกาลนี้จะเห็นได้ว่าพวกเขาเป็นทีมที่ไร้ชีวิตชีวาแบบสุดๆ ขาดคุณภาพแทบทุกด้าน อย่าว่าแต่การยิงประตูเลย การทำเกมรุกเพื่อเข้าไปลุ้นทำประตูยังเป็นอะไรที่ยากอย่างกับเข็นครกขึ้นภูเขา

ที่กล่าวมานั้นไม่ได้มีเจตนาที่จะบอกว่าการที่ เอฟเวอร์ตัน อยากจะพาทีมไปอีกขั้นเป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำแต่อย่างใด การพัฒนาไปข้างหน้าย่อมดีเสมอ แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ทุกการซื้อตัวนักเตะต้องพิถีพิถัน ต้องมีระบบที่แน่นอนก่อนแล้ว จึงค่อยหยิบนักเตะที่ใช่มาใส่ให้ลงล็อก ซึ่งดีลยุคหลังๆ ของ เอฟเวอร์ตัน นั้นส่วนใหญ่มักจะออกแนวเจ๊งมากกว่าเจี๊ยะเสมอ และนั่นเป็นเหตุให้การยกระดับทีมไม่เกิดขึ้น ดังที่เจ้าของทีมคาดหวังไว้ และ มาร์โก ซิลวา ก็โดนปลดหลังจากพาทีมลงไปอยู่โซนท้ายตารางพร้อมการเล่นที่ไร้รูปแบบโดยสิ้นเชิง 

"ถ้าคุณเห็นอันดับของเราในตอนนี้ (เดือน พฤศจิกายน 2018 อยู่อันดับ 15) เราทุกคนควาดหวังว่ามันควรจะต้องดีกว่า เรารู้เรื่องกีฬาดีและตอนนี้มันเป็นช่วงเวลาที่ต้องแสดงความเชื่อมั่นออกมา ตลอด 2-3 ปีหลังที่ไม่มีความมั่นคงในสโมสร เราต้องรวมกันเป็นหนึ่งให้ได้" นี่คือส่วนหนึ่งที่ มาร์แซล แบรนด์ ผู้อำนวยการสโมสรที่เข้ามาในยุคของ ฟาฮัด โมชิรี่ กล่าวยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นว่า ทีมชุดนี้ยังรวมกันไม่ติดอย่างสิ้นเชิง และในช่วงเวลาที่ทีมระส่ำแบบนี้พวกเขาต้องการใครสักคนที่ทำให้ นักเตะ, แฟนบอล และผู้บริหาร กลับมาร่วมมือกันเพื่อทีมได้…

 

หวยออกที่ “บิ๊กดังค์”

เมื่อเวลามีจำกัด ตัวเลือกที่ใกล้ตัวที่สุดอย่าง ดันแคน เฟอร์กูสัน อดีตนักเตะระดับตำนานของทีมที่เป็นหนึ่งในสต๊าฟโค้ชเดิมของมาร์โก ซิลวา จึงได้รับหน้าที่กุนซือชั่วคราวไปก่อน และระหว่างนี้สโมสรจะหาตัวแทนแบบถาวรที่เหมาะสม ซึ่งรายชื่อที่ออกมาก็ล้วนแต่เป็นโค้ชที่มีดีกรีทั้งสิ้น

Photo : princerupertstower.com

อย่างไรก็ตามเกมแรกของ ดันแคน เฟอร์กูสัน ในการคุมเอฟเวอร์ตันนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเขาจะต้องเจอเชลซี ทีมอันดับ 4 ของลีก และเป็น 1 ในทีมที่เล่นเกมเยือนได้ดีที่สุดในฤดูกาลนี้ 

แต่เมื่อนักหวีดดังขึ้นเกมดังกล่าวก็เป็นไปอย่างเซอร์ไพรส์ เอฟเวอร์ตัน เล่นเหมือนกับเป็นคนละทีมจากทีมที่แพ้กระทั่งทีมอันดับสุดท้ายของตารางอย่าง นอริช คาบ้าน พวกเขาอัดเชลซี ด้วยสกอร์ถึง 3-1 แต่ละประตูและแทบทุกจังหวะในเกมนั้นเป็นไปอย่างเร้าใจ นักเตะของ เอฟเวอร์ตัน วิ่งสู้ฟัดกัดไม่ปล่อย แสดงให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนในช่วงเวลาอันสั้น  

บิล เคนไรท์ ประธานสโมสรที่อยู่กับทีมมาอย่างยาวนาน บอกว่าบรรยากาศที่กูดิสัน พาร์ค ในวันนั้นร้อนแรงที่สุดในรอบหลายปี หลังจบเกมแฟนบอลทุกคนร้องเพลงที่มีชื่อของ ดันแคน เฟอร์กูสัน ซึ่งตัวของ ฟาฮัด โมชิรี่ และ เคนไรท์ ก็เรียกตัว เฟอร์กูสัน เข้าไปคุยส่วนตัว ถึงความเปลี่ยนแปลงที่ยากจะเชื่อครั้งนี้

Photo : www.forbes.com

"ทั้งสองคนเรียกผมเข้าไปแสดงความยินดี เขาบอกว่ามันเป็นเกมที่เหลือเชื่อและนำความภาคภูมิใจมาสู่สโมสรอีกครั้ง ด้วยความสัตย์จริงเลย ผมว่าผมเห็นน้ำตาของพวกเขาด้วยนะ" 

"เป็นเวลานานแล้วที่บรรยากาศที่นี่ไม่ได้เร่าร้อนแบบนี้ นี่คือ กูดิสัน ที่แท้จริง มันช่างเป็นวันเสาร์ที่เอเวอร์โตเนี่ยนทุกคนมีความสุขอย่างสุดเหวี่ยง หลังจากที่พวกเขาต้องเจ็บปวดกับหลายสิ่งก่อนหน้านี้" เฟอร์กูสัน กล่าวหลังจบเกมนั้น และเขากลายเป็นกระแสในโลกอินเตอร์เน็ตทันที" เฟอร์กูสัน ว่าอย่างสะใจ 

แม้แต่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด กุนซือของ เชลซี เองก็ยอมรับว่า เอฟเวอร์ตัน ในเกมนี้ คือเอฟเวอร์ตัน ที่มีความพิเศษกว่าทุกๆเกมในฤดูกาลที่ผ่านมา "เขาคือคนสำคัญ ณ ตอนนี้ ผมเข้าใจเลยว่าแพชชั่นของเขาที่มีต่อสโมสรมันมากขนาดไหน"  

คำถามคือกุนซือที่ไม่เคยผ่านงานที่ไหนมาเลย สามารถขับเคลื่อนทีมให้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือภายในไม่กี่วันได้อย่างไร? 

 

ชีวิตต้องง่าย

ทุกอย่างในเกมนั้นเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ เอฟเวอร์ตัน มุ่งมั่นและกระตือรือร้นเหมือนทีมที่อยากจะเอาชนะ นี่คือสิ่งที่ง่ายที่สุดหากทีมๆ หนึ่งคิดอยากจะประสบความสำเร็จ พวกเขาต้องมีความหลงใหลในชัยชนะก่อนเป็นอย่างแรก พวกเขาจะต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มัน และในบางสถานการณ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ เอฟเวอร์ตัน ในเวลานี้ ความหลงใหลหรือแพชชั่นสำคัญยิ่งกว่า ระบบการเล่น แท็คติก สไตล์ หรืออะไรก็ตามแล้วแต่ที่คอลูกหนังจะเรียก

Photo : sports.ndtv.com

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าแท็คติกของ “บิ๊กดังค์” นั้นแทบไม่มีอะไรมากเลยสำหรับการรับมือ เชลซี ในเกมนี้ เขากลับมาใช้ระบบ 4-4-2 ซึ่งเป็นระบบการเล่นที่มีเพียงทีมเดียวที่ยังใช้อยู่ในพรีเมียร์ลีกนั่นคือ เบิร์นลี่ย์ ทีมระดับกลางค่อนล่างที่มีข้อจำกัดด้านผู้เล่น และระบบ 4-4-2 นี้เป็นระบบที่ “บิ๊กดังค์” คุ้นเคยตั้งแต่สมัยยังเป็นนักเตะ เรียกได้ว่าในยุคที่เขามีชื่อเสียงระบบ 4-4-2 ถือเป็นแผนการเล่นยอดนิยมที่ไม่ว่าใครก็ใช้กันทั้งนั้น ซึ่งสำนักข่าวอย่าง "เดลี่ เมล์" ยังเผลอเขียนแซวในบทความว่าเหมือนกับฟุตบอลย้อนยุคอะไรทำนองนั้น

เหตุผลเช่นนั้นเพราะเขารู้ตัวว่าต้องคุมทีมในนัดนี้ก่อนเกมเริ่มเพียง 40 ชั่วโมง แม้แต่ตารางซ้อมในเช้าวันศุกร์ก่อนเกมเริ่ม 1 วัน บิ๊กดังค์ ยังต้องใช้โปรแกรมซ้อมที่ ซิลวา ตั้งไว้ให้อยู่เลย งานก่อนเกมของ เฟอร์กูสัน มีเพียงการนัดประชุมทีมเพิ่มขึ้นเป็น 2 ครั้งเท่านั้น ในแง่ของรายละเอียดอื่นๆนั้นเหมือนกับสมัยที่ ซิลวา คุมทีมทุกอย่าง แต่ถ้าจะมีใครสักคนที่เหมาะจะมาทำทีมในระยะสั้นแบบไม่สนแบบแผนเช่นนี้ ก็เห็นจะมีแต่ดันแคน เฟอร์กูสัน คนเดียวเท่านั้น 

"ผมรู้ว่า 4-4-2 จะต้องเวิร์คแน่นอน เราต้องการไล่บี้เข้าหาลูกบอล โดยให้ 2 กองหน้าช่วยกัน กองกลางทั้ง 4 คนของเราช่วยกันแย่งบอลจากกองกลางของพวกเขา เราเล่น 4-4-2 เพื่อแน่ใจว่าจะสามารถเล่นเกมรับได้ดี เราไม่จำเป็นต้องต่อบอลมากมายใช้ลวดลายสวยงามอะไรเลย เพราะเราไม่มีเวลาในการปรับอะไรมากนัก 4-4-2 คือแผนที่เวิร์กเสมอสำหรับผม" กุนซือชั่วคราวชาวสก็อตกล่าว

ส่วนที่ดันแคน เฟอร์กูสัน เปลี่ยนทีมมากที่สุดคือการปลุกเร้าในเรื่องจิตใจของนักเตะมากกว่า เขาเป็นคนที่เดินลงสนามพร้อมกับชุดสูท แต่ที่ข้อมือนั้นสวมใส่อาร์มแบรนด์ของสโมสร ซึ่งเป็นการแสดงออกทางสัญลักษณ์ว่า "ผมคือเอฟเวอร์โตเนี่ยนตัวจริง" โดยอาร์มแบรนด์ชิ้นนี้ ได้มาจาก ลิลลี่ ภรรยาหม้ายของ โฮเวิร์ด แคนดัลล์  ตำนานนักเตะของเอฟเวอร์ตันที่เสียชีวิตไปในปี 2015 และเธอบอกกับ ดันแคน เฟอร์กูสัน ว่าต้องใส่มันในการลงคุมทีมนัดนี้

Photo : www.squawka.com

"ลิลลี่ มอบมันให้ผม เธอบอกให้ผมสวมมัน ผมก็เลยดูเหมือนคนที่อยู่กึ่งกลางระหว่างชุดสูทกับชุดออกกำลังกายแบบนี้แหละ เธอบอกให้ใส่มันเพื่อให้ได้รู้สึกว่า โฮเวิร์ด นั่งอยู่บนซุ้มม้านั่งสำรองกับผม แน่นอนผมรักเขามาก เขาเป็นเพื่อนซี้ของผม แม้ใส่อาร์มแบรนด์นี้แล้วมันจะดูไม่เข้ากัน แต่ทำไงได้มันถึงเวลาที่คุณต้องไปข้างหน้าแล้ว"

ทุกครั้งที่ทีมยิงเข้า เขาจะออกแอ็คชั่นอย่างเต็มที่ทั้งการกระโดดกอดกับเด็กเก็บบอลจนตัวลอย ทำท่าสะใจแบบสุดแรงเกิด เรียกได้ว่าทุกแอ็คชั่นของเขาในวันนั้นเป็นเอฟเฟ็กต์ที่ทำให้บรรยากาศในเกมส่งพลังให้กับ เอฟเวอร์ตัน กดเชลซีได้อย่างอยู่หมัดเลยทีเดียว

เมื่อรวมกับวีรกรรมมากมายที่เขาเคยทำสมัยยังเป็นนักเตะที่เล่นให้กับ เอฟเวอร์ตัน เช่น การปลุกเร้าเพื่อนร่วมทีม การปะทะกับคู่ต่อสู้แบบตรงๆไม่อ้อมค้อม เตะเป็นเตะหวดเป็นหวด คาแร็คเตอร์ดังกล่าวของ เฟอร์กูสัน ส่งผ่านไปถึงนักเตะ เอฟเวอร์ตัน ในวันนี้อย่างชัดเจน เขาใช้เด็กปั้นของสโมสรอย่าง โดมินิค คัลเวิร์ต เลวิน ลงเล่นเป็นกองหน้าตัวเป้า ทั้งๆที่บนม้านั่งสำรองมี นักเตะค่าตัว 30 ล้านอย่าง เซงค์ โตซุน และ มอยเซ่ คีน และสุดท้าย เลวิน ก็วิ่งลืมตายและยิง 2 ประตูในเกมดังกล่าวด้วย

"เขาทำให้ทุกอย่างดูเรียบง่ายไปหมด มันเกี่ยวกับเรื่องการทำงานหนัก เขาพาเรากลับไปที่คำว่าพื้นฐานเป็นอันดับแรก การได้ลงเล่นที่ กูดิสัน หลังจากผ่านสัปดาห์ที่เลวร้าย และเราสามารถเปลี่ยนมันให้เป็นความภาคภูมิใจได้ แสดงให้ทุกคนเห็นในคาแร็คเตอร์ของเรา และเรายังต้องทำงานหนักยิ่งกว่าเพื่อทำให้มันออกมาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้" คัลเวิร์ท เลวิน ผู้ยิง 2 ประตูบอกถึงสิ่งที่ทำให้ทีมเปลี่ยนไป

ขณะที่ เมสัน โฮเกท อีกหนึ่งดาวรุ่งที่ได้ลงสนามในเกมดังกล่าวก็ให้สัมภาษณ์ไปทิศทางเดียวกันว่า แค่เปลี่ยนโค้ชเป็นคนที่สามารถปลุกระดมนักเตะได้ แค่นี้ก็เหมือนกับทีมได้นักเตะใหม่แล้วเพราะทุกคนกลับมาทุ่มเทเต็มที่แบบไม่ลังเล และไม่มีอะไรติดค้างในใจ

Photo : royalbluemersey.sbnation.com

"เราจะไม่กลับไปเป็นเอฟเวอร์ตันเวอร์ชั่นเก่าที่แสนน่าเบื่อเหมือนที่เป็นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาอีกแล้ว หลังจากนี้เราจะสู้แค่ตายและไม่มีวันยอมแพ้ เขาทำให้เรื่องนี้ชัดเจนขึ้นและทำให้พวกเราออกไปทำตามที่เขาสั่ง" 

ทุกอย่างที่ เอฟเวอร์ตัน ในเวลาดีดูสดใสไปหมด อย่างไรก็ตามโลกฟุตบอลไม่เคยใจดีกับใครตลอดไป ทุกอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา จากฮีโร่สามารถกลายเป็นแพะรับบาปได้ง่ายภายใต้ความผิดพลาดแค่ครั้งเดียว 

ทว่า ณ ตอนนี้ ทอฟฟี่สีน้ำเงิน ที่ยังไม่มีความแน่ชัดเรื่องผู้จัดการทีมคนใหม่ ได้เริ่มต้นกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งภายใต้การทำทีมของอดีตลูกพี่ใหญ่อย่าง ดันแคน เฟอร์กูสัน 

แม้ว่าสุดท้ายเขาจะไม่ได้คุมทีมถาวร แต่การเข้ามาช่วงนั้นของเขาเปรียบเสมือนสุภาษิตจีนที่บอกว่า "หนทางหมื่นลี้ ย่อมเริ่มต้นที่ก้าวแรก" เขาได้ชี้ให้บอร์ดบริหารเห็นแบบกลายๆแล้วว่า เอฟเวอร์ตัน เป็นทีมที่มีคาแร็คเตอร์อย่างไร ต้องการคนแบบไหน หลังจากก่อนหน้านี้ เอฟเวอร์ตัน เลือกคนที่ไม่เข้ากับ DNA ของสโมสรมาโดยตลอด 

เช่นเดียวกับเหล่านักเตะที่เล่นกันแบบซังกะตายกันมาอย่างยาวนาน ก็ได้รู้ว่าพวกเขาต้องลงเล่นด้วยความมุ่งมั่นเพื่อจะได้เป็นนักเตะในแบบฉบับเอฟเวอร์ตันที่แท้จริง และถ้าหากจุดไฟนักสู้ตัวเองติด ไม่ว่ากับทีมไหนก็สามารถที่จะชนะได้  และสิ่งเหล่านี้จะเป็นประโยชน์มากสำหรับกุนซือคนใหม่ที่จะได้เข้ามาคุมทีม เอฟเวอร์ตัน ในอนาคต 

Photo : www.90min.com

"ถ้าเอฟเวอร์ตันบุกชนะแมนฯ ยูไนเต็ดได้ คราวนี้ผมพร้อมจะปีนขึ้นไปฉลองบนหลังคาเลย พวกเขาเป็นทีมที่ดี แต่เราจะไปที่นั่นด้วยความมั่นใจ เราฝึกซ้อมหนัก และะมีแรงจูงใจที่จะสานต่อทำผลงานให้ดีอีกครั้ง" ดันแคน เฟอร์กูสัน ขู่ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ชนะมา 3 เกมรวด ที่จะต้องเจอกันในสุดสัปดาห์นี้

แค่มั่นใจก็พูดออกมาเลยไม่ต้องกั๊ก ง่ายๆแบบนั้นเลย… ในอดีต ดันแคน เฟอร์กูวัน เคยตบโจร 2 คนที่ขึ้นบ้านด้วยมือเปล่าส่งตำรวจมาแล้ว ตอนนี้เข้าได้ลงมือตบอีกครั้ง และการตบครั้งนี้ กูดิสัน พาร์ค ต้องสั่นสะเทือน และได้บทเรียนอะไรบางอย่างแน่นอน 

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.telegraph.co.uk/football/2019/12/08/duncan-ferguson-rolls-back-years-everton-inspired-memory-howard/
https://www.theguardian.com/football/2019/dec/08/duncan-ferguson-timing-tactics-everton
https://royalbluemersey.sbnation.com/2019/12/9/21001315/infectious-duncan-ferguson-gives-everton-players-nowhere-to-hide-chelsea-marco-silva-manager-tackles
https://therunnersports.com/the-duncan-ferguson-effect-on-everton-going-forward/
https://www.independent.co.uk/sport/football/premier-league/everton-duncan-ferguson-chelsea-next-manager-marco-silva-a9237996.html

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0