ตั้งนับแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง ตัวเลขการออกมาทำงานของผู้หญิงนั้นเติบโตอย่างต่อเนื่องมากว่า 70-80 ปี โดยเฉพาะในสังคมทุนนิยมอย่างสหรัฐฯ หรือประเทศชั้นนำทางเศรษฐกิจ ในปัจจุบันเราเห็นผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งสำคัญในองค์กรภาครัฐและเอกชน ตัวอย่างเช่นนางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีของเยอรมนีที่ล่าสุดเพิ่งถูกจัดอันดับโดยนิตยสารฟอร์บส์ให้เป็นสตรีที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกเป็นปีที่ 9 ติดต่อกัน หรือล่าสุดอย่างซานน่า มาร์ริน ที่ขึ้นดำรงค์ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของฟินแลนด์พร้อมสร้างสถิติเป็นนายกรัฐมนตรีอายุน้อยที่สุดในโลก และเมื่อพวกเธอมีการงานที่มั่นคงและสามารถเป็นเสาหลักในการดูแลครอบครัวได้ มันจึงน่าสนใจไม่น้อยที่จะมองฝ่ายชายว่าพวกเขามีความคิดเช่นไร
ด้านทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยบาธ ประเทศอังกฤษ ได้ทำการวิจัยว่าผู้ชายรู้สึกเช่นไรเมื่อฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายหาเงินให้ครอบครัวได้มากกว่า ซึ่งจากการศึกษาพบว่า ฝ่ายชายเครียดมากขึ้นเมื่อฝ่ายหญิงมีเงินเดือนมากกว่าตัวเอง โดยทีมวิจัยได้ทำการศึกษาคู่สามีภรรยามากกว่า 6,000 คู่ตลอดระยะเวลา 15 ปี โดยทางทีมวิจัยเผยว่า ยังคงมีกรอบคิดทางสังคมบางอย่างของผู้ชายที่มักมีความคิดที่ว่าฝ่ายชายควรเป็นฝ่ายที่มีรายได้มากกว่าฝ่ายหญิง
ด้านดร. ซิดรา จากมหาวิทยาลัยบาธเผยว่า จากการศึกษาพบว่า ชายที่แต่งงานกับคนรักที่มีรายได้สูงกว่าตนเองตั้งแต่ก่อนแต่งงาน พวกเขาไม่มีความเครียดดังกล่าว เนื่องจากพวกเขาไม่ได้กังวลในเรื่องดังกล่าว ขณะครอบครัวที่ภรรยามีรายได้เพิ่มสูงขึ้นกว่าสามีหลังแต่งงานแล้วพบว่าฝ่าชายมีความเครียดอย่างมาก เนื่องจากพวกเขารู้สึกอึดอัดเมื่อต้องตกเป็นรองฝ่ายหญิงทางด้านเศรษฐกิจ ซึ่งมันขัดกับความคิดของพวกเขาที่เชื่อเสมอว่าฝ่าชายจะต้องเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจในครอบครัวเท่านั้น ทั้งนี้เรื่องดังกล่าวเป็นอีกหนึ่งในสาเหตุในการหย่าร้างที่พบบ่อยมากขึ้นในยุดหลังๆ ทั้งนี้ดร. ซิดรากล่าวทิ้งท้ายว่า “เราคงต้องใช้เวลาอีกพอสมควร เพื่อที่จะทำให้คนในสังคมมองว่าคนทุกเพศมีสิทธิเท่าเทียมกันในสังคมอย่างแท้จริง”
