ประเด็นค่าเงินบาทอ่อนค่าถือเป็น Sentiment เชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นครั้งนี้ทีมข่าว Wealthy Thai ก็ได้มีเรื่องราวดีๆ ของ 3 หุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ มาฝากนักลงทุน โดยทั้ง 3 หุ้นนั้นจะยังเข้าซื้อได้หรือไม่ บทความนี้มีคำตอบให้นักลงทุนแล้ว
SMT กำไรโตก้าวกระโดด
เริ่มจาก SMT นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า แนะนำ ซื้อ ให้ราคาเป้าหมาย 7.9บาท เนื่องจากบริษัทมีพัฒนาการเกี่ยวกับการเพิ่มลูกค้าและสินค้าใหม่ตามแผนการเติบโตระยะยาว และมีแนวโน้มเริ่มส่งมอบสินค้าใหม่กลุ่ม Optics ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งใน Potential Customers หลายรายที่บริษัทมีโอกาสทยอยเซ็นสัญญาจ้างผลิตสินค้า นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถบริหารวัตถุดิบได้ดีต่อเนื่อง เพื่อรองรับการผลิตสินค้าตามคำสั่งซื้อของลูกค้า
ในเบื้องต้นยังไม่เห็นความเสี่ยงต่อยอดขายในครึ่งหลังปี 64 โดยคาดว่ามียอดขาย เติบโต 40%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโต 25%จากครึ่งปีแรก ตามการส่งมอบสินค้าที่เพิ่มขึ้นในกลุ่ม Optics สำหรับสินค้า Telecom และกลุ่ม PCBA & Box build ส่วนกลุ่ม IC คาดยอดขายกลับมาเติบโตจากครึ่งปีแรก โดยในไตรมาส 3/64 และไตรมาส 4/64 คาดกำไรปกติเติบโตต่อเนื่องรายไตรมาสตามการส่งมอบสินค้าเพิ่มขึ้นให้ลูกค้า
ทำให้ทั้งปี 64 คาดกำไรปกติ 225 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 205%จากปีก่อน เติบโตก้าวกระโดดตามการเติบโตของยอดขายและมี Gross margin ดีขึ้น ส่วนประมาณปี 65 มองว่ามีโอกาสเกิด upside จากการเพิ่มสินค้าใหม่ในกลุ่ม Potential Customers ที่จะทยอยเซ็นสัญญาจ้างผลิตสินค้าเพิ่มเติม โดยเบื้องต้นปี 65 คาดมีกำไร 265ล้านบาท เติบโต 15%จากปีก่อน เติบโตต่อเนื่องตามการเพิ่มคำสั่งซื้อของลูกค้าเดิม
อย่างไรก็ตามในเบื้องต้นคาดว่าไตรมาส 3/64 จะมีกำไร 63 ล้านบาท (ไม่รวมผลอัตราแลกเปลี่ยน) เติบโต 51%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโต 17%จากไตรมาสก่อน เนื่องจาก คาดยอดขายราว 690 ล้านบาท เติบโต 37%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโต 14%จากไตรมาสก่อน เนื่องจากการส่งมอบสินค้าตามคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นทั้ง 3 กลุ่มหลัก โดยเฉพาะกลุ่ม Optics สำหรับสินค้า Telecom และกลุ่ม PCBA & Box build ประเภทสินค้าเครื่องมือสำหรับ อุตสาหกรรม (Equipment & Tools) คาดมียอดขายเติบโตสูงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน
ส่วนสินค้ากลุ่ม IC คาดยอดขายกลับมาเติบโตจากไตรมาสก่อน ประกอบกับ คาด Gross margin ที่ 20.0% ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่ 20.4% และไตรมาส 2/64 ที่ 20.2% จากประสิทธิภาพการผลิตและบริหาร บริหารวัตถุดิบได้ดีต่อเนื่อง และ คาดค่าใช้จ่ายต่อยอดขายมีสัดส่วนลดลงเหลือ 10.5% จาก 12.1% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 11.7% ในไตรมาส 2/64
KCE ไตรมาส 3 กำไรเติบโต 176%
ถัดมา KCEนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า KCE ยังเด่น รับภาพธุรกิจยังดีมาก คำสั่งซื้อปัจจุบันเพียงพอถึง พ.ย. แล้ว ตามกลุ่มลูกค้ารถยนต์เติบโตทุกภูมิภาค มีความต้องการเซมิคอนดักเตอร์ ขณะที่ บริษัทเริ่มปรับราคากว่า 5% ตั้งแต่ไตรมาส 2/64 เพื่อชดเชยต้นทุนทองแดงสูงขึ้น โดยโมเมนตัมดีต่อใน ไตรมาส 3/64 เป็น High season คาดกำไรปกติที่ 690 ล้านบาท เติบโต 176%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโต12%จากไตรมาสก่อน และมองกำไรทั้งปี 64 ที่ 2.4 พันล้านบาท เติบโต 114%จากปีก่อน เนื่องจากยอดขายปีนี้โตกว่า 26% และอัตรากำไรที่สูงขึ้น
ส่วนมุมมองของนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) บอกว่า แนะนำ “ซื้อ” และคงราคาเป้าหมายที่ 90.00 บาท โดยคาดไตรมาส 4/64 ดีต่อเนื่องจนถึงปี 65 จากการขยายกำลังการผลิต PCB บริษัทมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 300,000 ตร.ฟุต/เดือน ที่โรงงานลาดกระบัง เพิ่มขึ้น 18% ในช่วง ก.ย. 64 ในกลุ่มสินค้า special grade และจะเพิ่มขึ้นอีก 300,000 ตร.ฟุต/เดือน ที่โรงงานอยุธยา เพิ่มขึ้น 25% ในช่วง ต.ค. 64 ในกลุ่มสินค้าปกติ ขณะที่ปี 65 บริษัทจะเพิ่มกำลังการผลิตอีก 700,000 ตร.ฟุต/เดือน ที่โรงงานอยุธยา
คงประมาณการกำไรสุทธิปี 64 อยู่ที่ 2,225 ล้านบาท เติบโต 97%จากปีก่อน และปี 65 ที่ 3,374 ล้านบาท เติบโต 52%จากปีก่อน เนื่องจากจาก ประมาณการยอดขายสกุล USD อยู่ที่ 447 ล้านเหรียญ สหรัฐฯ เติบโต 20% จากปีก่อน และ 536 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เติบโต 20%จากปีก่อน ตามลำดับ จากการฟื้นตัวอุตสาหกรรมรถยนต์ รวมถึงแนวโน้มรถยนต์ EV ที่จะเติบโตได้โดดเด่น
รวมทั้ง Gross profit margin เพิ่มขึ้นเป็น 27% จากเดิมที่ 25% จากการสัดส่วนรายได้ PCB special grade ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและมีแนวโน้มโตต่อเนื่อง โดยคาดจะเห็นสัดส่วนรายได้ PCB special grade อยู่ที่ 20% รวมถึงการใช้หุ่นยนต์ทดแทนการใช้แรงงาน ขณะเดียวกันกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากการขยาย กำลังการผลิตในปี 64 และสร้างโรงงานใหม่ปี 65 โดยประมาณการปี 65 มีupside จาก gross margin ที่ดีกว่าคาด
HANA ปี 64-65 เติบโตสูง
และสุดท้าย HANAโดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด ระบุว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ ” ด้วยราคาเป้าหมายเดิมกลางปี 2565 ที่ 92.00 บาท ซึ่งชอบ HANA เนื่องจากมีศักยภาพการเติบโตแข็งแกร่งของกำไรในปี 2564-2566โดยปี 2564 คาดมีกำไรสุทธิ 2,584ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนที่อยู่ระดับ 1,908ล้านบาท
แนวโน้มไตรมาส 3/2564 ผู้บริหารคาดว่าการติดเชื้อโควิด-19 โดยเฉพาะที่โรงงาน semiconductor ใน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จะส่งผลกระทบต่อยอดขายราว 5-6% ในไตรมาส 3/2564 เนื่องจากพนักงานบางส่วนต้องถูกกักตัว อย่างไรก็ตาม เราคาดว่ารายได้ในสกุลเงินบาทจะไม่ลดลงมากนัก เนื่องจากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงจะช่วยชดเชยยอดขายและกำไรขั้นต้น (GPM) ได้บางส่วน จึงคาดว่ากำไรปกติไตรมาส 3/2564 จะลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน ส่วนกำไรสุทธิอาจลดลงมากกว่าจากขาดทุน FX
ส่วนการขยายตัวเป็นไปตามเป้า บริษัทคาดว่าเครื่องจักรสำหรับการบรรจุและทดสอบ semiconductor จะถูกส่งมอบในไตรมาส 4/2564 และสามารถเริ่มดำเนินการได้อย่างเต็มที่ในไตรมาส 1/2565 สำหรับทั้งโรงงานในไทยและจีน เรามองว่ากำลังการผลิตของธุรกิจ IC จะเพิ่มราว 40% จึงคาดว่ากำไรปกติปี 2564-2566 จะเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 25.6% สำหรับสายธุรกิจ SiC ใหม่นั้น ยังไม่มีการอัพเดตมากนัก เนื่องจากทางบริษัทยังรอผลตอบรับที่เกี่ยวข้องกับ ผลิตภัณฑ์จากลูกค้า
ด้านนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า ธุรกิจในไตรมาส 3/64 สะดุดตัวเล็กน้อยจากโควิดระบาดในโรงงาน และ IC Storage ที่จ.อยุธยา โดยคาดว่าจะกระทบต่อรายได้ในไตรมาสนี้ราว 5%
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ในไตรมาส 4/64 ดีขึ้น และเติบโตแกร่งในปี 65 โดยการแพร่ระบาดทยอยคลี่คลายลง ขณะที่ความต้องการซื้อยังแข็งแกร่ง และบริษัทมีกำลังการผลิตใหม่เข้ามาเพิ่ม คาดกำไรสุทธิปี 64-65 เติบโตสูง 51% และเติบโต 28% ตามลำดับ แนะนำ ซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 95 บาท
