โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

บริหารเงิน ช่วงตกงาน

SET ตลาดหลักทรัพย์ฯ

อัพเดต 09 เม.ย. 2563 เวลา 02.49 น. • เผยแพร่ 09 เม.ย. 2563 เวลา 02.49 น. • SET Education

“การระบาดเชื้อไวรัส COVID-19 ชีวิตเปลี่ยน” ไม่ใช่แค่คำพูดเท่านั้น แต่วันนี้ชีวิตของหลายๆ คนเริ่มเปลี่ยน และเป็นการเปลี่ยนไปในทางที่ไม่ค่อยดีอีกด้วย และถ้าพูดเรื่องนี้คงหนีไม่พ้นเรื่อง “เงิน” เพราะถึงแม้เงินจะไม่ใช่ทุกสิ่งของชีวิต แต่เงินก็เป็นส่วนสำคัญที่เมื่อกระทบแล้ว ก็ทำให้ชีวิตเปลี่ยน

 

บางคนอาจกระทบแค่เบาๆ เช่น มีรายได้เหมือนเดิม แค่รายจ่ายเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย บางคนเริ่มหนาวๆ ร้อนๆ เมื่อรายได้เริ่มหดหายไปบางส่วน ยังประคองตัวไปได้อยู่ แต่อีกหลายคนเข้าขั้นวิกฤติ เพราะถูกเลิกจ้าง กลายเป็นคนตกงานโดยไม่ทันตั้งตัว ซึ่งก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความตระหนกในตอนแรก แต่ก็ขอให้มี “สติ” เพื่อหาหนทางให้ชีวิตผ่านไปได้ อาจดูเหมือนว่าเป็นคำสวยงาม แต่ถ้ามีสติจะทำให้การตัดสินใจอะไรหลายอย่างถูกต้องและรอดพ้นจากช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ

 

เมื่อมีสติ ก็สามารถนำมาจัดการกับเรื่องเงินทองได้ง่ายยิ่งขึ้น เพราะเมื่องานหาย เงินก็หดตามไปด้วย จากที่เคยมีเงินเข้ามาทุกเดือนก็ไม่มี ขณะที่รายจ่ายยังมีอยู่แถมอาจมีเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งตอนนั้นผู้เขียนมีการจัดการด้วยวิธีง่ายๆ

 

1. สำรวจเงินสด

เงินสด หมายถึง เงินที่สามารถเบิกถอนมาใช้จ่ายได้ทันที ดังนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นเงินที่ฝากไว้ในบัญชีออมทรัพย์ และกองทุนรวมตลาดเงิน โดยตรวจดูว่ามีจำนวนเท่าไหร่

 

2. เงินฉุกเฉิน

โดยปกติแล้ว ทุกคนควรมีเงินก้อนหนึ่งที่เก็บเอาไว้ใช้ตอนฉุกเฉิน โดยผู้เขียนก็มีเงินสำรองฉุกเฉิน 3 เดือนของค่าใช้จ่ายแต่ละเดือน วิธีการให้สำรวจว่าตัวเองมีค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนเท่าไหร่ โดยนำเงินเดือนมาคำนวณ เช่น เงินเดือน 20,000 บาท มีค่าใช้จ่ายราว 10,000 บาท สมมติว่า อยากมีเงินออมสำรองฉุกเฉิน 3 เท่าของค่าใช้จ่าย ก็นำ 10,000 มาคูณ 3 แสดงว่าควรมีเงินไว้ใช้ยามจำเป็น 30,000 บาท

 

3. เงินชดเชย

เมื่อถูกบอกเลิกจ้าง ก็จะได้เงินชดเชยตามกฎหมายแรงงาน ซึ่งต้องดูว่าได้จำนวนเท่าไหร่ จากนั้นให้นำไปฝากไว้ในบัญชีออมทรัพย์ ส่วนเงินที่อยู่ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ แนะนำว่าไม่ควรนำออกมา เพราะถ้านำออกมาจะต้องจ่ายภาษี ควรเป็นสมาชิกต่อไป

 

ยกตัวอย่าง ในเบื้องต้นต้องรู้ว่าตัวเองทำงานกับบริษัทแห่งนี้กี่ปี หรือเมื่อถูกนายจ้างเลิกจ้างจะมีสิทธิได้รับค่าชดเชยเท่าไหร่

  •  ถ้าทำงานติดต่อกันครบ 120 วัน แต่ไม่ครบ 1 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30 วัน
  •  ถ้าทำงานติดต่อกันครบ 1 ปี แต่ไม่ครบ 3 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน
  •  ถ้าทำงานติดต่อกันครบ 3 ปี แต่ไม่ครบ 6 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน
  •  ถ้าทำงานติดต่อกันครบ 6 ปี แต่ไม่ครบ 10 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 240 วัน
  •  ถ้าทำงานติดต่อกันครบ 10 ปี แต่ไม่ครบ 20 ปี มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 300 วัน
  •  ถ้าทำงานติดต่อกันครบ 20 ปี ขึ้นไป มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 400 วัน

 

4. หนี้สิน

จดข้อมูลหนี้สินทุกประเภทที่ต้องจ่าย โดยให้ทำเป็นตารางให้ชัดเจนว่าแต่ละงวดต้องจ่ายหนี้อะไรบ้าง จำนวนเงินและดอกเบี้ยเท่าไหร่ สิ้นสุดปีไหน สถาบันการเงินอะไร เป็นต้น จากนั้นเรื่องที่ต้องจัดการ คือ หนี้สิน โดยติดต่อกับเจ้าหนี้ (ส่วนใหญ่เป็นธนาคาร) เพื่อขอปรึกษาขอผ่อนผันจ่ายหนี้ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายระหว่างที่กำลังหางานใหม่

 

5. ประกันสังคม

เมื่อกลายเป็นผู้ตกงาน สิ่งที่ต้องทราบ คือ สิทธิประโยชน์ของประกันสังคมที่จะได้มีอะไรบ้าง ก็ต้องรวบรวบข้อมูล ศึกษาเงื่อนไขในเว็บไซต์สำนักงานประกันสังคม จดคำถาม จากนั้นให้ติดต่อปรึกษากับเจ้าหน้าที่ หรือถ้าสะดวกควรเดินทางไปสำนักงานประกันสังคม

 

การติดต่อสำนักงานประกันสังคม เพื่อสอบถามข้อมูลว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร เช่น เมื่อยื่นเอกสารเสร็จเรียบร้อยก็จะมีจดหมายนัดให้ไปรายงานตัวเดือนละ 1 ครั้ง เป็นเวลา 6 ครั้ง (6 เดือน) หากลืมรายงานตัวในเดือนไหนก็จะไม่ได้เงินทดแทนในเดือนนั้น แต่ในช่วงนี้ที่เชื้อไวรัส COVID-19 กำลังระบาด ต้องสอบถามสำนักงานประกันสังคมว่าการรายงานตัวใช้ช่องทางไหน

 

โดยผู้ถูกเลิกจ้างก็จะได้เงินทดแทนในระหว่างการว่างงานจากประกันสังคมปีละไม่เกิน 180 วัน อัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างเดือนล่าสุด โดยมีฐานเงินเดือนสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท เช่น เงินเดือน 10,000 บาท จะได้รับเงินเดือนละ 5,000 บาท แต่ถ้าเงินเดือนตั้งแต่ 15,000 บาทขึ้นไป จะได้รับเดือนละ 7,500 บาท

 

เช่นกัน หากถูกเลิกจ้างในช่วง COVID-19 กำลังระบาด จะมีมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม ดังนั้น ต้องติดตามข้อมูลข่าวสารทั้งจากสำนักงานประกันสังคม และกระทรวงแรงงาน เพื่อรักษาสิทธิของตัวเอง

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.sso.go.th

 

หลังตกงาน ปรับสัดส่วนค่าใช้จ่ายอย่างไร

เมื่อมีข้อมูลครบ ก็ย้อนกลับไปดูว่า “ก่อนตกงาน” มีการแบ่งเงินคร่าวๆ พบว่า

30% คือ เงินใช้จ่ายในชีวิตประวัน เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าของใช้ในบ้าน ค่าความบันเทิง

 

20% คือ เงินลงทุน เช่น กองทุนรวมประหยัดภาษี เช่น RMF กองทุนรวมทั่วไป หุ้น เงินฝาก ซื้อประกัน รวมถึงเงินเก็บไว้ใช้ยามฉุกเฉิน

 

40% คือ เงินค่าผ่อนชำระหนี้ เช่น คอนโดมิเนียม รถยนต์ บัตรเครดิต

 

10% คือ เงินทำบุญและท่องเที่ยว

 

แต่เมื่อกลายเป็น “คนตกงาน” สิ่งที่ต้องลงมือทำ คือ แบ่งเงินใหม่ เพื่อให้เพียงพอต่อการดำรงชีวิต

20% คือ เงินใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน โดยลดค่าอาหารและค่าเดินทาง เพราะไม่ต้องเดินทางไปทำงาน

 

10% คือ เงินลงทุน ถึงแม้จะตกงานก็ยังต้องแบ่งเงินไปลงทุน แต่ลดจำนวนลงจาก 20% ของรายได้แต่ละเดือน เหลือ 10% และเน้นลงทุนใน RMF เป็นต้น

 

30% คือ เงินออม เพราะเมื่อดูเงินสำรองฉุกเฉินที่เก็บเอาไว้เพียง 3 เดือนอาจไม่พอ จึงต้องเก็บเพิ่มเป็นเงินฉุกเฉิน 6 เดือน ถึง 1 ปี เพื่อให้มีเงินใช้จ่ายเพียงพอได้ถึง 1 ปี ถึงแม้จะไม่มีงานทำ

 

40% คือ เงินค่าผ่อนชำระหนี้ เหตุผลที่ไม่ปรับลดง เพราะในช่วงวิกฤติ ทั้งภาครัฐและสถาบันการเงิน ออกมาตรการต่างๆ ช่วยเหลือหรือผ่อนผันเรื่องการชำระหนี้ ดังนั้น ต้องอัพเดตข่าวสารตลอดเวลา แต่แผนสองของเรา คือ ถ้าหากมาตรการไม่ครอบคลุม ก็ต้องโทรไปหาเจ้าหนี้เพื่อขอผ่อนผัน

 

 

สังเกตเห็นว่าหลังตกงาน การแบ่งเงินมีทั้งส่วนที่ลด เพิ่มและคงไว้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นสัดส่วนตายตัว เพราะในช่วงที่ตกงานได้ปรับเปลี่ยนตลอดเวลาเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยใช้หลักการ 3 ล. มาช่วย

1. ลองคิด คิดหาคำตอบของตัวเองให้ได้ว่ามีเป้าหมายอะไร และต้องการทำแผนให้สำเร็จด้วยวิธีไหน

2. ลองทำ เมื่อวางแผนแล้วก็ลงมือทำ อย่าปล่อยให้เป็นเพียงความคิด

3. ลองดู หมั่นสำรวจตัวเองว่าทำแล้วเป็นอย่างไร แบบไหนควรปรับ แบบไหนเหมาะสมแล้ว เพื่อให้แผนเดินหน้าไปได้

จะว่าไปแล้ว ในช่วงที่ยากลำบาก ทำให้เราได้เรียนรู้ถึงการเอาตัวรอด การวางแผน การศึกษาหาข้อมูล การมีสติ การได้ใช้ชีวิตที่ช้าลง การสำรวจความต้องการของตัวเอง สร้างวินัยให้กับตัวเอง และมาถึงวันที่กำลังเจอวิกฤติอีกรอบ เรามีภูมิคุ้มกันทางด้านการเงินในการต่อสู้เพิ่มมากขึ้น

 

วรวรรณ ตินะลา

ผู้ดำเนินรายการด้านเศรษฐกิจและการลงทุน

 

อ่านบทความอื่นๆ ต่อได้ที่ >>https://setga.page.link/ds4rghK8pyNH5ZUZ6

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0