โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธรรมะ

บทสวดทำวัตรเช้า

LINE TODAY

เผยแพร่ 14 ส.ค. 2561 เวลา 08.18 น.

เดิมการทำวัตรเช้าและเย็นไม่ได้เริ่มต้นตั้งแต่ครั้งพุทธกาล ปัจจุบันเป็นธรรมเนียมเลียนแบบมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ซึ่งพระสงฆ์จะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อรับฟังโอวาทเป็นกิจวัตรประจำวัน การทำวัตรมีจุดมุ่งหมายอย่างหนึ่งคือเพื่อเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้านั่นเอง

สำหรับการทำวัตรเช้า เริ่มต้นตอนเช้า เบื้องต้นไม่ได้กำหนดเวลาจะต้องกี่โมง แต่ส่วนใหญ่นิยมสวดตอนเช้าตรู่ แต่หากไม่ใช่ช่วงเช้าตรู่ก็สามารถสวดได้เช่นกัน โดยเริ่มจาก….

คำบูชาพระรัตนตรัย

โย โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ

สวากขาโต เยนะ ภะคะวะตา ธัมโม

สุปะฏิปันโน ยัสสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

ตัมมะยัง ภะคะวันตัง สะธัมมัง สะสังฆัง อิเมหิ สักกาเรหิ ยะถาระหัง อาโร- ปิเตหิ อะภิปูชะยามะ

สาธุ โน ภันเต ภะคะวา สุจิระปะรินิพพุโตปิ

ปัจฉิมา ชะนะตานุกัมปะมานะสา

อิเม สักกาเร ทุคคะตะปัณณาการะภูเต ปะฏิคคัณหาตุ

อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ

พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น พระองค์ใด, เป็นพระอรหันต์, ดับเพลิงกิเลส เพลิงทุกข์สิ้นเชิง, ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง 
พระธรรม เป็นธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ใด, ตรัสไว้ดีแล้ว
พระสงฆ์สาวก,ของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ใด, ปฏิบัติดีแล้ว
ข้าพเจ้าทั้งหลาย, ขอบูชาอย่างยิ่ง, ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์ ด้วยเครื่องสักการะทั้งหลายเหล่านี้, อันยกขึ้นตามสมควรแล้ว อย่างไร
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ, พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ปรินิพพานนานแล้ว, ทรงสร้างคุณอันสำเร็จประโยชน์ ไว้แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย
ทรงมีพระหฤทัยอนุเคราะห์แก่พวกข้าพเจ้า อันเป็นชนรุ่นหลัง
ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า จงรับเครื่องสักการะ อันเป็นบรรณาการ ของคนยาก-ทั้งหลายเหล่านี้
เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ตลอดกาลนาน เทอญฯ

อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา

พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ

สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม

ธัมมัง นะมัสสามิ

สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,

สังฆัง นะมามิ

พระผู้มีพระภาคเจ้า, เป็นพระอรหันต์, ดับเพลิงกิเลส เพลิงทุกข์สิ้นเชิง, ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
ข้าพเจ้าอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า, ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน (กราบ)
พระธรรมเป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้า, ตรัสไว้ดีแล้ว
ข้าพเจ้านมัสการพระธรรม (กราบ)
พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า, ปฏิบัติดีแล้ว
ข้าพเจ้านอบน้อมพระสงฆ์ (กราบ)

ปุพพะภาคะนะมะการะ

หันทะ มะยัง พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปุพพะภาคะนะมะการัง กะโรมะ เส

เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทำความนอบน้อมอันเป็นส่วนเบื้องต้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ)

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง

พุทธาภิถุติ (บทสวดสดุดีพระพุทธเจ้า)

(หันทะ มะยัง พุทธาภิถุติง กะโรมะ เส)

โย โส ตะถาคะโต อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ 

วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร 

ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง 

พุทโธ ภะคะวา โย อิมัง โลกัง สะเทวะกัง สะมาระกัง 

สะพรหมะกัง สัสสะมะณะพราหมะณิง ปะชัง สะเทวะมะนุสสัง 

สะยัง อะภิญญา สัจฉิกัตวา ปะเวเทสิ 

โย ธัมมัง เทเสสิ อาทิกัลยาณัง 

มัชเฌกัลยาณัง ปะริโยสานะกัลยาณัง 

สาตถัง สะพยัญชะนัง เกวะละปะริปุณณัง 

ปะริสุทธัง พรหมะจะริยัง ปะกาเสสิ 

ตะมะหัง ภะคะวันตัง อะภิปูชะยามิ 

ตะมะหัง ภะคะวันตัง สิระสา นะมามิ 

  (กราบระลึกพระพุทธคุณ)

เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทำความชมเชยเฉพาะพระธรรมเถิด
พระตถาคตเจ้านั้น พระองค์ใด
เป็นผู้ไกลจากกิเลส เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง
เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้
เป็นครูผู้สอน ของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม
เป็นผู้มีความจำเริญจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด, ได้ทรงทำความดับทุกข์ให้แจ้งด้วยพระปัญญาอันยิ่งเองแล้ว,  ทรงสอนโลกนี้พร้อมทั้งเทวดา,  มาร พรหม  และหมู่สัตว์, พร้อมทั้งสมณพราหมณ์,  พร้อมทั้งเทวดา และมนุษย์ให้รู้ตาม
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด , ทรงแสดงธรรมแล้ว
ไพเราะในเบื้องต้น
ไพเราะในท่ามกลาง
ไพเราะในที่สุด
ทรงประกาศพรหมจรรย์ , คือแบบแห่งการปฏิบัติ , อันประเสริฐ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง , พร้อมทั้งอรรถ (คำอธิบาย) , พร้อมทั้งพยัญชนะ (หัวข้อ)
ข้าพเจ้าบูชาอย่างยิ่ง เฉพาะพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ข้าพเจ้านอบน้อมพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ด้วยเศียรเกล้า

ธัมมาภิถุติ (บทสวดสดุดีพระธรรม)

(หันทะ มะยัง ธัมมาภิถุติง กะโรมะ เส)

โย โส สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม 

สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก 

ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ 

ตะมะหัง ธัมมัง อะภิปูชะยามิ ตะมะหัง ธัมมัง สิระสา นะมามิ

  (กราบระลึกพระธรรม)    

พระธรรมนั้นใด เป็นสิ่งที่พระผู้มี พระภาคเจ้า ได้ตรัสไว้ดีแล้ว
เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ พึงเห็นได้ด้วยตนเอง
เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ และให้ผลได้ ไม่จำกัดกาล
เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกะผู้อื่นว่า ท่านจงมาดูเถิด
เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว
เป็นสิ่งที่ผู้รู้ ก็รู้ได้เฉพาะตน
ข้าพเจ้าบูชาอย่างยิ่ง เฉพาะพระธรรมนั้น
ข้าพเจ้านอบน้อมพระธรรมนั้น ด้วยเศียรเกล้า

สังฆาภิถุติ (บทสวดสดุดีพระสงฆ์)

(หันทะ มะยัง สังฆาภิถุติง กะโรมะ เส)

โย โส สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ 

อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ 

ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ 

สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ 

ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา 

เอสะภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ 

อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลิกะระณีโย 

อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสะ 

ตะมะหัง สังฆัง อะภิปูชะยามิ 

ตะมะหัง สังฆัง สิระสา นะมามิ

  (กราบระลึกพระสังฆคุณ)

เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทำความชมเชยเฉพาะพระสงฆ์เถิด
สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระ ภาคเจ้านั้นหมู่ใด ปฏิบัติดีแล้ว
สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติตรงแล้ว
สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด, ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรม เป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว
สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด, ปฏิบัติสมควรแล้ว
ได้แก่บุคคลเหล่านี้ คือ คู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ นับเรียงตัวบุรุษได้ ๘ บุรุษ
นั่นแหละสงฆ์สาวก ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะ ที่เขานำมาบูชา
เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะ ที่เขาจัดไว้ต้อนรับ
เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน
เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไป ควรทำอัญชลี
เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า
ข้าพเจ้าบูชาอย่างยิ่ง เฉพาะพระสงฆ์หมู่นั้น
ข้าพเจ้านอบน้อมพระสงฆ์หมู่นั้น ด้วยเศียรเกล้า

 

ระตะนัตตะยัปปะณามะคาถา (คาถานอบน้อมพระรัตนตรัย)

(หันทะ มะยัง ระตะนัตตะยัปปะณามะคาถาโย เจวะ สังเวคะวัตถุปะริกิตตะนะปาฐัญจะ ภะณามะ เส)

พุทโธ สุสุทโธ กะรุณามะหัณณะโว 

โยจจันตะสุทธัพพะระญาณะโลจะโน 

โลกัสสะ ปาปูปะกิเลสะฆาตะโก 

วันทามิ พุทธัง อะหะมาทะเรนะ ตัง 

ธัมโม ปะทีโป วิยะ ตัสสะ สัตถุโน โย 

มัคคะปากามะตะเภทะภินนะโก 

โลกุตตะโร โย จะ ตะทัตถะทีปะโน 

วันทามิ ธัมมัง อะหะมาทะเรนะ ตัง 

สังโฆ สุเขตาภยะติเขตตะสัญญิโต 

โย ทิฏฐะสันโต สุคะตานุโพธะโก 

โลลัปปะหีโน อะริโย สุเมธะโส 

วันทามิ สังฆัง อะหะมาทะเรนะ ตัง 

อิจเจวะเมกันตะภิปูชะเนยยะกัง วัตถุตตะยัง 

วันทะยะตาภิสังขะตัง ปุญญัง มะยา ยัง 

มะมะ สัพพุปัททะวา มา โหนตุ เว ตัสสะ ปะภาวะสิทธิยา

เชิญเถิด เราทั้งหลาย กล่าวคำนอบน้อมพระรัตนตรัยและบาลีที่กำหนดวัตถุเครื่องแสดงความสังเวชเถิด
พระพุทธเจ้าผู้บริสุทธิ์ มีพระกรุณา ดุจห้วงมหรรณพ
พระองค์ใด มีตาคือญาณอันประเสริฐหมดจดถึงที่สุด
เป็นผู้ฆ่าเสียซึ่งบาป และอุปกิเลสของโลก
ข้าพเจ้าไหว้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น โดยใจเคารพเอื้อเฟื้อ
พระธรรมของพระศาสดา สว่างรุ่งเรืองเปรียบดวงประทีป
จำแนกประเภท คือ มรรค ผล นิพพาน ส่วนใด
ซึ่งเป็นตัวโลกุตตระ และส่วนใดที่ชี้แนวแห่งโลกุตตระนั้น
ข้าพเจ้าไหว้พระธรรมนั้น โดยใจเคารพเอื้อเฟื้อ
พระสงฆ์เป็นนาบุญอันยิ่งใหญ่ กว่านาบุญอันดีทั้งหลาย
เป็นผู้เห็นพระนิพพาน ตรัสรู้ตาม พระสุคต หมู่ใด
เป็นผู้ละกิเลสเครื่องโลเล เป็นพระอริยเจ้า มีปัญญาดี
ข้าพเจ้าไหว้พระสงฆ์หมู่นั้นโดยใจเคารพเอื้อเฟื้อ
บุญใดที่ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่ซึ่งวัตถุสาม คือพระรัตนตรัย อันควรบูชายิ่งโดยส่วนเดียว,ได้กระทำแล้วเป็นอย่างยิ่งเช่นนี้ 
ขออุปัทวะ (ความชั่ว) ทั้งหลาย จงอย่ามีแก่ข้าพเจ้าเลย ด้วยอำนาจความสำเร็จอันเกิดจากบุญนั้น

 

สังเวคปริกิตตนปาฐะ (บทสวดแสดงความสังเวช)

อิธะ ตะถาคะโต โลเก อุปปันโน 

อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ 

ธัมโม จะ เทสีโต นิยยานิโก 

อุปะสะมิโก ปะรินิพพานิโก สัมโพธะคามี สุคะตัปปะเวทิโต 

มะยันตัง ธัมมัง สุตวา เอวัง ชานามะ

ชาติปิ ทุกขา ชะราปิ ทุกขา มะระณัมปิ ทุกขัง 

โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา 

อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข 

ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง 

สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา 

เสยยะถีทัง 

รูปูปาทานักขันโธ เวทะนูปาทานักขันโธ 

สัญญูปาทานักขันโธ สังขารูปาทานักขันโธ วิญญาณูปาทานักขันโธ 

เยสังปะริญญายะ ธะระมาโน โส ภะคะวา 

เอวัง พะหุลัง สาวเก วิเนติ 

เอวัง ภาคา จะ ปะนัสสะ ภะคะวะโต สาวะเกสุ 

อะนุสาสะนี พะหุลา ปะวัตตะติ 

รูปัง อะนิจจัง เวทะนา อะนิจจา สัญญา อะนิจจา 

สังขารา อะนิจจา วิญญาณัง อะนิจจา 

รูปัง อะนัตตา เวทะนา อะนัตตา สัญญา อะนัตตา 

สังขารา อะนัตตา วิญญาณัง อะนัตตา 

สัพเพ สังขารา อะนิจจา สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ 

เต (ตา-ผู้หญิงกล่าว) มะยัง โอติณณามหะ ชาติยา ชะรามะระเณนะ 

โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ 

ทุกโขติณณา ทุกขะปะเรตา อัปเปวะนามิมัสสะ เกวะลัสสะ 

ทุกขักขันธัสสะ อันตะกิริยา ปัญญาเยถาติ 

พระตถาคตเจ้า เกิดขึ้นแล้วในโลกนี้
เป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
และพระธรรมที่ทรงแสดง เป็นธรรมเครื่องออกจากทุกข์
เป็นเครื่องสงบกิเลส, เป็นไปเพื่อปรินิพพาน
เป็นไปเพื่อความรู้พร้อม, เป็นธรรมที่พระสุคตประกาศ
พวกเราเมื่อได้ฟังธรรมนั้นแล้ว, จึงได้รู้อย่างนี้ว่า
แม้ความเกิดก็เป็นทุกข์
แม้ความแก่ก็เป็นทุกข์
แม้ความตายก็เป็นทุกข์
แม้ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ ก็เป็นทุกข์
 ความประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก ที่พอใจ ก็เป็นทุกข์
ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รัก ที่พอใจ ก็เป็นทุกข์
มีความปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้น นั่นก็เป็นทุกข์
ว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นตัวทุกข์ ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ
ขันธ์ อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือรูป
ขันธ์ อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือเวทนา
ขันธ์ อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือสัญญา
ขันธ์ อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือสังขาร
ขันธ์ อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือวิญญาณ
เพื่อให้สาวกกำหนดรอบรู้ อุปาทานขันธ์เหล่านี้เอง
จึงพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เมื่อยังทรงพระชนม์อยู่
ย่อมทรงแนะนำสาวกทั้งหลาย, เช่นนี้เป็นส่วนมาก
อนึ่งคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ย่อมเป็นไปในสาวกทั้งหลาย, ส่วนมาก มีส่วน คือ
การจำแนกอย่างนี้ว่า รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง
รูปไม่ใช่ตัวตน เวทนาไม่ใช่ตัวตน สัญญาไม่ใช่ตัวตน สังขารไม่ใช่ตัวตน วิญญาณไม่ใช่ตัวตน
สังขารทั้งหลายทั้งปวง ไม่เที่ยง 
ธรรมทั้งหลายทั้งปวง ไม่ใช่ตัวตน, ดังนี้
พวกเราทั้งหลายเป็นผู้ถูกครอบงำแล้ว
โดยความเกิด โดยความแก่และความตาย
โดยความโศก ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจทั้งหลาย
เป็นผู้ถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว
เป็นผู้มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว
ทำไฉนการทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้, จะพึงปรากฏชัดแก่เราได้

จิระปะรินิพพุตัมปิ ตัง ภะคะวันตัง สะระณังคะตา

ธัมมัญจะ สังฆัญจะ

ตัสสะ ภะคะวะโต สาสะนัง, ยะถาสะติ, ยะถาพะลัง มะนะสิกะโรมะ อะนุปะฏิปัชชามะ

สา สา โน ปะฏิปัตติ

อิมัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ อันตะกิริยายะ สังวัตตะตุ

เราทั้งหลาย ผู้ถึงแล้วซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ปรินิพพานนานแล้วพระองค์นั้น เป็นสรณะ
ถึงพระธรรมด้วย ถึงพระสงฆ์ด้วย
จักทำในใจอยู่ ปฏิบัติตามอยู่ ซึ่งคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ตามสติกำลัง
ขอให้ความปฏิบัตินั้น ๆ ของเราทั้งหลาย
จงเป็นไปเพื่อการทำที่สุด แห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ เทอญ

จบทำวัตรเช้า และอาจต่อด้วยคาถากรวดน้ำตอนเช้า

ปุญญัสสิทานิ กะตัสสะ ยานัญญานิ กะตานิ เม 

เตสัญจะ ภาคิโน โหนตุ สัตตานันตาปปะมาณะกะ 

เย ปิยา คุณะวันตา จะ มัยหัง มาตาปิตาทะโย 

ทิฏฐา เม จาปยะทิฏฐิ วา อัญเญ มัชฌัตตะเวริโน 

สัตตา ติฏฐันติ โลกัสมิง เต ภุมมา จะตุโยนิกา 

ปัญเจกะจะตุโวการา สังสะรันตา ภะวาภะเว 

ญาตัง เย ปัตติทานัมเม อะนุโมทันตุ เต สะยัง 

เย จิมัง นัปปะชานันติ เทวา เตสัง นิเวทะยุง 

มะยา ทินนานะ ปุญญานัง อะนุโมทะนะ เหตุนา 

สัพเพ สัตตา สะทา โหนตุ อะเวรา สุขะชีวิโน 

เขมัปปะทัญจะ ปัปโปนตุ เตสาสา สิชฌะตัง สุภา

สัตว์ทั้งหลาย ไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ จงมีส่วนแห่งบุญที่ข้าพเจ้า
ได้ทำในบัดนี้ และแห่งบุญอื่นที่ได้ทำไว้ก่อนแล้ว
คือจะเป็นสัตว์เหล่าใด ซึ่งเป็นที่รักใคร่และมีบุญคุณ 
เช่น มารดาบิดาของข้าพเจ้า เป็นต้น ก็ดี; ที่ข้าพเจ้าเห็นแล้ว 
หรือไม่ได้เห็น ก็ดี สัตว์เหล่าอื่นที่เป็นกลาง ๆ หรือเป็นคู่เวรกันก็ดี
สัตว์ทั้งหลาย ตั้งอยู่ในโลก, อยู่ในภูมิทั้งสาม, อยู่ในกำเนิดทั้งสี่, 
มีขันธ์ห้าขันธ์ มีขันธ์ขันธ์เดียว มีขันธ์ ๔ ขันธ์ กำลังท่องเที่ยวอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ ก็ดี
สัตว์เหล่าใด รู้ส่วนบุญที่ข้าพเจ้าแผ่ให้แล้ว สัตว์เหล่านั้นจงอนุโมทนาเองเถิด 
ส่วนสัตว์เหล่าใดยังไม่รู้ส่วนบุญนี้ ขอเทวดาทั้งหลายจงบอกสัตว์เหล่านั้นให้รู้
เพราะเหตุที่ได้อนุโมทนาส่วนบุญที่ข้าพเจ้าแผ่ให้แล้ว สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง 
จงเป็นผู้ไม่มีเวร อยู่เป็นสุขทุกเมื่อ จงถึงบทอันเกษม กล่าวคือพระนิพพาน 
ความปรารถนาที่ดีงามของสัตว์เหล่านั้น จงสำเร็จเถิด

จบแล้วกล่าวเพิ่มว่า…

อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา 

พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ (กราบ) 

สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ (กราบ) 

สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆังนะมามิ (กราบ) 

มาตาปิตุอุปัฏฐานัง อะหัง วันทามิ (กราบ) 

คะรุอุปัชฌายะอาจาริยะคุณัง อะหัง วันทามิ (กราบ)

จบทำวัตรเช้าบริบูรณ์ 

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0