สกายเวลล์ ประเทศไทย ประกาศเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้าพร้อมกันถึง 4 รุ่น ได้แก่ เดโชะ (DAESHO) โชได (SHODAI) แพนได (PANDAI) และ โยชิ (YOSHI) ซึ่งเป็นกลุ่มรถตู้อเนกประสงค์ รถบัสโดยสารขนาดเล็ก และ รถบรรทุกคาร์โก้ ชูไฮไลต์เทคโนโลยี ยานยนต์ไฟฟ้า ช่วยประหยัดพลังงาน อีกทั้งราคาประหยัด คุ้มค่าแก่การลงทุน โดยเริ่มเปิดตัวให้คนไทยได้จับจอง ตั้งแต่วันนี้ คาดผลตอบรับดี ปีแรกมียอดการจองไม่ต่ำกว่า 3,000 คัน ส่งเสริมให้รายได้รวมไม่น้อยกว่า 3,000 ล้านบาท
นายสิทธิพร รัตโนภาส ประธานที่ปรึกษาโครงการ Skywell อดีตผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กล่าวว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และ มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งในด้านการสร้างรายได้ การสร้างงาน รวมทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป โดยปัจจุบันทั่วโลกมีความกังวลในเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมและตระหนักในการประหยัดพลังงาน ซึ่งตลาดโลกกำลังให้ความสำคัญกับรถยนต์ทางเลือกช่วยในการประหยัดพลังงานน้ำมันและไม่สร้างมลพิษส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อม
รถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (Electric Vehicle) หรือ EV จึงกำลังเป็นที่สนใจ รวมถึงประเทศไทยด้วย การเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าของ สกายเวลล์ ประเทศไทย จึงถือเป็นนิมิตรหมายอันดีของการมีส่วนส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาทางด้านยานยนต์ของไทย ในฐานะฐานการผลิตที่สำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ของภูมิภาคนี้ และมอบโอกาสให้คนไทยได้เลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่ราคาคุ้มค่าและได้ร่วมกันดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย
นายปริญญ์ เสถียรปกิรณกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการตลาด บริษัท สกายเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเสริมว่า จากความสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดโลก ซึ่งตระหนักถึงรถยนต์ทางเลือกที่ช่วยในการประหยัดพลังงาน จึงร่วมกับ สกายเวลล์ บริษัทชั้นนำด้านยานยนต์จากประเทศจีน ดำเนินการนำรถยนต์ต้นแบบพลังงานไฟฟ้าเข้ามายังประเทศไทย เพื่อให้ลูกค้าในประเทศไทยและกลุ่มประเทศอาเซียนได้มีทางเลือกใหม่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า
พร้อมเปิดตัวรถยนต์ ในกลุ่มรถตู้อเนกประสงค์ รถบัสโดยสาร และ รถบรรทุกคาร์โก้ ถึง 4 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ เดโชะ (DAESHO) รถตู้อเนกประสงค์ ซึ่งมาพร้อมระบบความปลอดภัยมาตรฐานสากล รองรับผู้โดยสาร 5-7 ที่นั่ง ทำความเร็วสูงสุด 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้พลังงานแบตเตอรี่ระบบหล่อเย็น ขับเคลื่อนได้เพียงชาร์ตไฟฟ้า 30 นาที ถึง 15 ชม. ตามกำลังประจุไฟ เหมาะกับเป็นรถบ้านหรือรถโดยสารขนาดเล็กที่เน้นความคุ้มค่า ราคาเริ่มต้น 700,000 บาท
เช่นเดียวกับ โซได (SHODAI) รถตู้อเนกประสงค์ ซึ่งรูปลักษณ์พรีเมี่ยม มีระบบความปลอดภัยมาตรฐานสากล ขนาดรองรับผู้โดยสาร 7-11 ที่นั่ง ทำความเร็วสูงสุด 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้พลังงานแบตเตอรี่ระบบหล่อเย็น ซึ่งขับเคลื่อนได้ชาร์ตไฟฟ้า 2-18 ชม. ตามกำลังประจุไฟ ราคาเริ่มต้น 2,300,000 บาท
รวมถึง แพนได (PANDAI) รถโค้ทหรือรถบัส รองรับได้ 21 ที่นั่ง ซึ่งทำความเร็วสูงสุดได้ 80 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง ระบบการชาร์ตไฟใช้เวลาเพียง 1.30 ชั่วโมงถึง 2 ชั่วโมงตามกำลังไฟ เหมาะสำหรับเป็นรถโดยสารที่เน้น ความคล่องตัว ราคาเริ่มต้น 2,500,000 บาท
และสุดท้าย โยชิ (YOSHI) รถบรรทุก 6 ล้อ ซึ่งเป็นรถบรรทุกขนาดกลางที่มาพร้อมตู้คาร์โก้ ขนาดความยาว 4,100 มิลลิเมตร ทำความเร็วสูงสุด 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แบตเตอรี่เป็นแบบลิเทียม ค่ากำลังสูงสูดของมอเตอร์ 85 กิโลวัตต์ เหมาะกับการลงทุนสำหรับภาคธุรกิจขนส่ง ราคาเริ่มต้น 1,400,000 บาท
นอกจากนี้ผู้ใช้งานรถยนต์ของ สกายเวลล์ ยังสามารถได้รับสิทธิประโยชน์จาก สมาร์ทสเตชั่น ซึ่งถือเป็นพันธมิตรที่มีแนวคิดสอดคล้องกับทาง สกายเวลล์ ในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย โดย สมาร์ทสเตชั่น คือ สถานีบริการสมัยใหม่แบบครบวงจรในการรองรับชุมชนผู้ใช้งานรถยนตร์ไฟฟ้าให้มีความสะดวกสบาย ประหยัดและปลอดภัยยิ่งขึ้น ผ่านผลิตภัณฑ์และบริการที่ผสมผสานนวัตกรรมล้ำสมัย โดยขับเคลื่อนด้วย แนวคิด 4 ประการหลัก ได้แก่ Smart Energy Smart Cleaning Smart Food และ Smart Services
อย่างไรก็ตาม บริษัท สกายเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ถือเป็นบริษัทฯ น้องใหม่ของตลาดยานยนต์ประเทศไทย ซึ่งได้จดทะเบียนบริษัทเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ที่ผ่านมา แต่ในภูมิภาคเอเชีย สกายเวลล์ ซึ่งมีบริษัทแม่ที่ประเทศจีนก่อตั้งมายาวนาน การเข้ามาเปิดตลาดในไทยและให้ไทยเป็นฐานของการกระจายไปยังประเทศอื่นๆ ในอาเซียน จะดำเนินงานภายใต้สโลแกน Save Money, Save Earth with SKYWELL หรือ ประหยัดเงินและรักษ์โลกกับสกายเวลล์ เน้นย้ำสร้างความโดดเด่นคุ้มค่ามอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้าคุณภาพให้กับลูกค้า ที่ช่วยประหยัดพลังงาน และ ราคาประหยัด คุ้มค่าแก่การลงทุน โดยจะเริ่มเปิดให้คนไทยได้จับจอง ได้แล้ววันนี้ คาดผลตอบรับปีแรกค่อนข้างดีมียอดการจองไม่ต่ำกว่า 3,000 คัน และส่งเสริมให้รายได้รวมให้กับบริษัทฯ ไม่น้อยกว่า 3,000 ล้านบาท
