เมื่อวันที่ 20 พ.ย. นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แถลงภายหลังศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยให้พ้นสมาชิกภาพ ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101(6) ประกอบมาตรา 98(3) จากกรณีถือหุ้นสื่อบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ขณะลงสมัครรับเลือกตั้งส.ส. ว่า “คำพิพากษาทำให้สภาพ ส.ส.สิ้นสุดลง และขอขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจพวกเราทั้งทางบ้าน และที่ศูนย์ราชการแห่งนี้ ตนซาบซึ้ง และขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้เรา แต่ความคิดเห็นของตนที่มีต่อคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ เป็นความคิดเห็นอย่างสุจริตใจ ศาลรัฐธรรมนูญได้ให้เหตุผลถึงการเป็น ส.ส.ของตนไว้หลายข้อ ตนมีความคิดเห็นต่อคำวินิจฉัย ดังนี้
ศาลรัฐธรรมนูญ อ้างถึงพ.ร.บ.การพิมพ์ว่ามีใบอนุญาตอยู่ ยังไม่ได้ยกเลิก ดังนั้นบริษัทวี-ลัค จะเริ่มต้นการเป็นสื่ออีกครั้งเมื่อไหร่ก็ได้ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญ เองก็ยอมรับไปแล้วว่าบริษัทวี-ลัค ไม่มีรายได้ ไม่มีบุคคลากร และเป็นบริษัทที่ปิดตัวลงแล้ว นอกจากนี้ศาลยังพูดถึงเจตนารมณ์มาตรา 98 (3) ว่าไม่ให้นักการเมืองให้คุณกับตัวเอง ให้โทษกับผู้อื่น แต่ศาลไม่ได้พูดเลยว่าตนและบริษัทวี-ลัค ได้มีการทำผิดเจตนารมณ์ ในมาตรา 98(3) หรือไม่ ในการพิจารณาว่าผิดกฎหมาย ผิดรัฐธรรมนูญว่าเป็นสื่อหรือไม่ ในคำพิพากษาของศาลฯ พูดถึงการจดแจ้งทะเบียนผู้ถือหุ้นใหม่ของบริษัทกับกระทรวงพาณิชย์ หรือ บอจ.5 ขอเรียนอย่างนี้ บอจ.5 ตามกฎหมายแล้ว 1 ปี จะแจ้งเมื่อไหร่ก็ได้ แจ้งช้าแจ้งเร็ว ไม่ผิดกฎหมาย บริษัทวีลัคในวันนั้นไม่มีพนักงานแล้ว เอางานไปฝากคนอื่นทำ
ตอนที่บริษัทวี-ลัคยังมีชีวิตอยู่ ยังประกอบกิจการอยู่ การแจ้งที่เกิน 2 เดือน 16 วัน ที่ใช้ในการจดแจ้ง บอจ.5 ว่ามีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นแล้วก็มีเหมือนกัน ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก สำคัญที่สุดหลังการประชุมผู้ถือหุ้นทุกคนเราถึงยื่น บอจ.5 ก็เป็นปกติเหมือนที่บริษัททำมาทุกครั้ง
ส่วนการขึ้นเช็คช้ากว่าปกติ นางรวิพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ได้ชี้แจงชัดเจนแล้วว่าปกติคุณรวิพรรณ ได้ขึ้นเช็คให้กับตน วันนั้นลูกยังอ่อนอยู่ ศาลบอกว่าสามารถให้คนอื่นไปได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในครอบครัว ตนจะให้ใครไปเป็นเรื่องของตน ที่ผ่านมาให้ภรรยาไปทุกคน ธรรมเนียมปฏิบัติของครอบครัว เราเอาเช็คตัวจริงไปให้ กกต.ดูด้วย คุณรวิพรรณ พอรู้เรื่องว่าเรื่องนี้ใหญ่โต ก็ไม่กล้าไปขึ้นเช็ค เก็บเช็คไว้กับตัววันที่ตนไปให้การในชั้นคณะกรรมการการเลือกตั้ง 30 เม.ย.ที่ผ่านมา คุณรวิพรรณ ก็ให้ทนายความของพรรคถือเช็คนี้ไปให้กกต.ไปให้ดูด้วยเป็นเช็คตัวจริง แต่เราส่งสำเนาไปในเอกสารแนบคดี แต่เจ้าหน้าที่ กกต.เห็นเช็คจริงในวันที่ 30 เม.ย.ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมไปถึงช้า
นายธนาธร กล่าวต่อว่า เรื่องต่อไปศาลพิพากษา เรื่องการตัดสินใจการลงทุน ผู้พิพากษาศาลทุกท่านไม่เคยเป็นนักธุรกิจ จะใช้ว่าโครงการไหนน่าลงทุนหรือไม่คงจะไม่ถูกต้องนัก บุคคลแต่ละบุคคลมีรสนิยม การลงทุนต่างกัน ผู้เชี่ยวชาญ 100 คน มาตัดสินใจการลงทุนแบบเดียวกันไม่เหมือนกัน จะใช้มาตรฐานศาลมาตัดสินว่านางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ จะลงทุนในเรื่องใด เป็นเรื่องที่ผิดฝาผิดตัว การที่นางสมพร โอนหุ้นกลับไปกลับมาให้กับนายทวี จรุงสถิตย์พงศ์ มันไม่เกี่ยวอะไรกับความสมบูรณ์กับการโอนหุ้นในวันที่ 8 ม.ค. มันเสร็จสมบูรณ์ด้วยตัวของมันเอง
ข้อสันนิษฐานที่ศาลยกขึ้นมาพิพากษา ทั้งหมดตั้งอยู่ในข้อสันนิษฐาน ไม่มีข้อเท็จจริงมาหักล้าง ศาลให้น้ำหนักกับข้อสันนิษฐานมากกว่าข้อเท็จจริง ศาลให้น้ำหนัก กับข้อสันนิษฐานของตัวเอง มากกว่าพยานหลักฐาน ข้อสังเกตข้อสุดท้าย ไม่มีการบอกมติของการบอกองค์คณะตุลาการแต่อย่างใด นั่นคือความคิดเห็นของตนเกี่ยวกับการวินิจฉัย
“ข้อสังเกตของผม การอ่านคำวินิจฉัยวันนี้ไม่มีการบอกมติขององค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด แตกต่างจากคำวินิจฉัยคดีอื่นของศาลฯ แต่ละคดีที่ผ่านมา ความคิดเห็นของผมเกี่ยวกับคำวินิจฉัย ผมอยากเรียนประชาชนว่าพรรคอนาคตใหม่คือการเดินทาง การเดินทางยังไม่สิ้นสุด ผมยังเป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ พรรคอนาคตใหม่คือผู้คนที่สนับสนุน ที่มีความฝัน ความตั้งใจเหมือนกัน และจะก้าวเดินเหมือนกัน ขอบคุณทุกท่านอีกครั้งที่มาให้กำลังใจ”นายธนาธร กล่าวและว่า เรื่องความเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรม คิดว่าให้ประชาชนตัดสินใจเองจะดีที่สุด ลองฟังความแถลงความคิดเห็นของตนกับคำที่ศาลแถลง แล้วให้ประชาชนตัดสินเองดีกว่า จากนี้ตนก็ทำงานต่อ ยังเป็นหัวหน้าพรรค ยังต้องทำงาน การรณรงค์ต่างๆ การเลือกตั้ง 24 มีนาคม ไม่ใช่สมรภูมิเดียว พรรคอนาคตใหม่คือการเดินทาง ยังต้องผ่านการเลือกตั้งอีกเยอะ ที่สำคัญตนยังเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอยู่ ส่วนการยุบพรรค คิดว่าอย่าไปกังวลเรื่องการยุบพรรค เรามีความจำเป็นที่ต้องทำงานที่เป็นผลประโยชน์กับประชาชน สนใจกับงานที่เป็นประโยชนกับประชาชน ให้พี่น้องประชาชนตัดสินเองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมีความเป็นธรรมกับเราหรือไม่
