โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไอที ธุรกิจ

ท่องเที่ยววูบ แรงงานกว่า 7.7 ล้านคน "ระส่ำ"

TNN ช่อง16

อัพเดต 19 ก.พ. 2563 เวลา 01.32 น. • เผยแพร่ 19 ก.พ. 2563 เวลา 01.32 น. • TNN Thailand
ท่องเที่ยววูบ แรงงานกว่า 7.7 ล้านคน
จับตา “ธุรกิจท่องเที่ยววูบ” โจทย์หินที่รัฐบาลต้องเร่งปลดล็อก หลัง “โควิด-19” กระทบหลายบริษัทเสี่ยงขาดสภาพคล่อง

วันนี้( 19 ก.พ.3) การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ “โควิด-19” ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย “รุนแรง” กว่าที่หลาย สำนักวิจัยทางเศรษฐกิจได้คาดการณ์เอาไว้ โดยเฉพาะหลังจากที่ทางการจีนมีคำสั่งให้บริษัททัวร์ “หยุดขาย” ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ตั๋วเครื่องบิน โรงแรม ที่พักอาศัยต่างๆ รวมไปถึงการห้ามนักท่องเที่ยวกลุ่มเสี่ยงเดินทางออกนอกประเทศ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสดังกล่าว 

คำสั่งของทางการจีนในครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของไทยโดยตรง เพราะที่ผ่านมานักท่องเที่ยวชาวจีน คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 1 ใน 3 ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีบางประเทศ เช่น เกาหลีใต้ และ ไต้หวัน มีคำสั่งเพิ่มความระมัดระวังการเดินทางมาเที่ยวประเทศไทย หลังพบจำนวนผู้ติดเชื้อในไทยทยอยเพิ่มขึ้น แม้ในจำนวนนี้มีที่รักษาหายจนและสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ 

สถานการณ์ที่นักท่องเที่ยวจีนวูบหายไป ส่งผลกระทบโดยตรงต่อ “ธุรกิจท่องเที่ยว” ซึ่งเวลานี้ผลกระทบเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ โดยเริ่มเห็นการ “ยกเลิก” การจองห้องพักตามแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในหลายๆ จังหวัด ไม่ว่าจะเป็น ภูเก็ต หาดใหญ่ พัทยา เชียงใหม่ หรือแม้แต่ใน กรุงเทพมหานคร ซึ่งนอกจากธุรกิจโรงแรมแล้ว ยังเชื่อมโยงไปธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องด้วย เช่น ร้านอาหาร สปา หรือแม้แต่ธุรกิจเดินรถที่รับนักท่องเที่ยว ก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วย

การแพร่ระบาดของเชื้อโควดิด-19  ครั้งนี้  สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ถือเป็นเหตุการณ์ที่กระทบต่อภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยหนักที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยทำให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวและผู้ที่เกี่ยวข้องในวงจรภาคท่องเที่ยว ซึ่งเป็นภาคบริการที่มีซัพพลายเชนมากกว่า 50,000 บริษัท และบุคลากรในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกว่า 4 ล้านคน (จากสำนักงานสถิติ กระทรวงการท่องเที่ยวฯ) ได้รับผลกระทบทันที  

ขณะที่ ข้อมูลจากการสำรวจแรงงานของประชากร สำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า  “ภาคการท่องเที่ยว” มีสัดส่วนการจ้างงานที่สูงถึง 20% ของการจ้างงานทั้งหมด หรือประมาณ 7.7 ล้านคน เป็นแรงงานในภาคการท่องเที่ยว 5 แสนคน และแรงงานที่อยู่ในธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับภาคการท่องเที่ยว 7.2 ล้านคน  และภาคการท่องเที่ยวมีสัดส่วนต่อ “จีดีพี” สูงถึงประมาณ 20% ดังนั้นผลกระทบจากภาคการท่องเที่ยว จึงส่งผลต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง  

แต่ประเด็นที่น่าห่วงมากที่สุดในขณะนี้ คือ ปัญหา “สภาพคล่อง” ของภาคธุรกิจการท่องเที่ยว หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไว้รัสโควิด-19  “ลากยาว” เกินกว่าเดือนมี.ค.หรือเม.ย.ของปีนี้ และภาคท่องเที่ยวไม่รับการช่วยเหลือหรือดูแลให้ดีอาจรุนแรงถึงขั้นเป็น “วิกฤติสภาพคล่อง" ถ้าเป็นเช่นนั้นหลายบริษัทคงต้อง “ปิดกิจการ” ลามไปสู่ปัญหา “การเลิกจ้าง” กระทบถึง “ภาคการบริโภค” และลามไปสู่ปัญหา “หนี้ครัวเรือน” ในท้ายที่สุด 

ทั้งนี้ หากเจาะลึกธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับภาคท่องเที่ยวที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการที่รายได้นักท่องเที่ยวชาวจีนลดลงมากที่สุดพบว่า 4 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจที่พักแรม ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม และธุรกิจขนส่ง  โดยศูนย์วิจัยธนาคารออมสิน ได้ศึกษาถึงผลกระทบเชิงลึกจากการหดตัวของนักท่องเที่ยวชาวจีน พบว่า ธุรกิจค้าปลีก จะสูญเสียรายได้ประมาณ 25,000 – 54,000 ล้านบาท 

จากการจับจ่ายซื้อสินค้าของนักท่องเที่ยวจีนที่หายไป โดยธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหลัก อาทิ กลุ่มค้าปลีกสมัยใหม่ เช่น มินิมาร์ท , ไฮเปอร์มาร์เก็ต/ซุปเปอร์มาร์เก็ต , ธุรกิจขายเครื่องสำอาง/ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ,กลุ่มร้านขายอาหารและเครื่องดื่ม/ผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อในท้องถิ่นของที่ระลึก ซึ่งในจังหวัดท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวจีนมีผู้ประกอบการ    ในกลุ่มนี้อยู่ประมาณ 7,538 ราย  โดยจังหวัดที่มีผู้ประกอบการกลุ่มนี้อยู่เป็นจำนวนมาก ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรีเชียงใหม่ และภูเก็ต

ส่วนธุรกิจที่พักแรม/โรงแรม คาดว่าจะสูญเสียรายได้ประมาณ 21,000 – 45,000 ล้านบาท  โดยเฉพาะที่พักแรมระดับราคาไม่สูงมากจนถึงระดับปานกลาง และมีตลาดหลักเป็นลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งในจังหวัดท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวจีนมีผู้ประกอบการในกลุ่มนี้อยู่ประมาณ 5,622ราย โดยจังหวัดที่มีผู้ประกอบการกลุ่มนี้อยู่เป็นจำนวนมาก ได้แก่ กรุงเทพฯ สุราษฎร์ธานี และภูเก็ต

ขณะที่ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม คาดว่าจะสูญเสียรายได้ประมาณ 16,000 – 34,000 ล้านบาทโดยเฉพาะร้านอาหารและเครื่องดื่มที่ขึ้นชื่อของแต่ละจังหวัด ซึ่งในจังหวัดท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวจีนมีผู้ประกอบการในกลุ่มนี้อยู่ประมาณ 7,708 ราย1/ โดยจังหวัดที่มีผู้ประกอบการกลุ่มนี้อยู่เป็นจำนวนมาก ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี และสุราษฎร์ธานี

นอกจากนี้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบยังรวมถึงร้าน Street Food อีกกว่า 105,000 ราย (ส่วนใหญ่ไม่เป็นนิติบุคคล) กระจายตามจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญ และธุรกิจขนส่งคาดว่าจะสูญเสียรายได้ประมาณ 7,500 – 16,000 ล้านบาท โดยเฉพาะบริการรถหรือเรือนำเที่ยว รวมถึงบริการการขนส่งสาธารณะอื่น ๆ ในพื้นที่ ซึ่งในจังหวัดท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวจีนมีผู้ประกอบการที่เป็น SMEs กลุ่มนี้อยู่ประมาณ 6,742 ราย โดยจังหวัดที่มีผู้ประกอบการกลุ่มนี้อยู่เป็นจำนวนมาก ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี และภูเก็ต

ผลกระทบดังกล่าว  ทำให้รัฐบาลต้องเร่งหามาตรการช่วยเหลือธุรกิจท่องเที่ยว โดย ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งรับผิดชอบดูแลงานด้านเศรษฐกิจ ต้องเรียก “ประชุมด่วน” ผู้บริหารจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงแรงงาน ธนาคารแห่งประเทศไทย รวมไปถึงหน่วยงานภาคเอกชน เช่น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และ สมาคมธนาคารไทย เพื่อระดมสมอง เร่งหาแนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบที่ได้รับผลกระทบเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา

ข้อสรุปเบื้องต้นที่ได้จากการประชุมในครั้งนี้ แบ่งออกเป็น “2 มาตรการใหญ่” คือ “มาตรการด้านภาษี” และ “มาตรการด้านการเงิน” 

โดย “มาตรการด้านภาษี” เน้นเรื่องการเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการภาคท่องเที่ยว เพื่อชะลอการเลิกจ้างแรงงาน รวมไปถึงการ “จูงใจ” ให้คนไทยหันมาเที่ยวในประเทศเพิ่มมากขึ้น เช่น อาจกำหนดให้ผู้สูงอายุเกิน 60 ปี หากเดินทางท่องเที่ยวในวันธรรมดา สามารถนำรายจ่ายที่เกิดขึ้นให้ลูกหลานมาหักลดหย่อนภาษีได้

ส่วน “มาตรการด้านการเงิน” ได้ขอให้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ)ไปหารือ กับสมาคมธนาคารไทยว่า จะมีแนวทางในการออกมาตรการผ่อนปรนสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการท่องเที่ยวได้อย่างไรบ้าง รวมไปถึงการพิจารณา “ลดดอกเบี้ย” บัตรเครดิตให้กับแรงงาน เพื่อช่วยบรรเทาภาระในส่วนนี้

ด้าน ดร.อุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า ได้ขอให้แบงก์ชาติไปดูเพิ่มเติมว่า มีแนวทางใดบ้างที่สามารถเข้ามาช่วยดูแลผู้ประกอบการกลุ่มนี้เพิ่มเติม โดยหนึ่งในนั้น คือ การขอให้ไปศึกษาความเป็นไปได้การออกโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือ “ซอฟท์โลน” รวมทั้งขอให้ แบงก์ชาติช่วยผ่อนคลายกฎเกณฑ์ในบ้างเรื่อง เพื่อเอื้อให้ธนาคารพาณิชย์นำสภาพคล่องออกมาช่วยเหลือภาคธุรกิจมากขึ้น

ส่วนข้อสรุปและแนวทางการช่วยเหลือต่างๆ รัฐบาล จะเร่งทำการรวบรวมเพื่อจัดทำเป็น “มาตรการชุดใหญ่” ให้แล้วเสร็จและส่งเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) พิจารณาอนุมัติภายในเดือนมี.ค.นี้ โดยมั่นใจว่ามาตรการต่างๆ จะสามารถนำมาใช้ได้ก่อนเดือนเม.ย.แน่นอน 

หลังจากนี้ต้องติดตามดูว่า “มาตรการชุดใหญ่” ที่รัฐบาลเตรียมผลักดันออกมา เพียงพอที่จะช่วยภาคท่องเที่ยว และเศรษฐกิจไทย “รอดพ้น” จากภาวะเศรษฐกิจ “ถดถอย” ได้หรือไม่ สถานการณ์ในคราวนี้จึงนับเป็น “โจทย์หิน” ที่วัดฝีมือรัฐบาล

เกาะติดข่าวที่นี่
website: www.TNNThailand.com 
facebook : TNNThailand
twitter : @TNNThailand
Line : @TNNThailand
Youtube Official : TNNThailand

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0