By BOOM JapanSalaryman
โรงเรียนที่ผมกำลังจะเล่าต่อไปนี้ มีชื่อว่า “Nishiyamato Gakuen” เป็นโรงเรียนมัธยมที่ตั้งอยู่ในเขต
Kitakatsuragi จังหวัดนารา ประเทศญี่ปุ่น ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ โรงเรียนมัธยมแห่งนี้ในอดีตมีนักเรียนเกเรเป็นจำนวนมาก ชอบชกต่อยกัน บางทีหนักถึงขั้น..โยนโต๊ะโยนเก้าอี้ลงมาจากหน้าต่างห้องเรียนเลยครับ นึกภาพแล้วก็รู้สึกหนาว ๆ ยังไงก็ไม่รู้ ถ้าไปเรียนที่นั่นจะทำตัวอย่างไร ผู้ปกครองต้องไม่ Happy แน่ ๆ เลยครับ
ผอ.โรงเรียนเห็นภาพนั้นแล้วคงทนไม่ไหว เลยตั้งอกตั้งใจเปลี่ยน Nishiyamato Gakuen
ให้เป็นโรงเรียนชั้นดี และตอนนี้โรงเรียนแห่งนี้ก็กลายเป็นโรงเรียนที่ถูกหมายตาโดยผู้ปกครองญี่ปุ่นทั้งประเทศ แก่งแย่งแข่งขันกันเพื่อให้ส่งลูกเข้ามาเรียนในโรงเรียนนี้ให้ได้ แม้ที่ตั้งของโรงเรียนจะไม่ได้ตั้งอยู่ใกล้เมืองหลวงก็ตาม
จากเริ่มแรกที่มีแต่เด็กเกเร 4 ปีต่อมาโรงเรียนแห่งนี้ สามารถส่งลูกศิษย์คนแรกเข้ามหาวิทยาลัยโตเกียว มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นได้เป็นสำเร็จ
ปีที่ 8 ปั้นเข้ามหาวิทยาลัยโตเกียวได้ถึง 5 คน!
ปีที่ 10 ได้ถึง 10 คน!!
และปีที่ 20 หลังจากการก่อตั้งโรงเรียน (ค.ศ. 2006) สามารถส่งลูกศิษย์เข้ามหาวิทยาลัยโตเกียวได้มากถึง 27 คนครับ!!!
ตัวเลขนี้คนญี่ปุ่นฟังแล้วต่างร้องว้าว เพราะการจะเข้ามหาวิทยาลัยโตเกียวได้นั้น ถือเป็นความฝันของคุณพ่อคุณแม่ชาวญี่ปุ่น เป็นงานหินมากสำหรับนักเรียนและโรงเรียน ต้องเก่งจริงหัวกะทิเท่านั้นถึงจะเข้าได้
ยังไม่หมดแค่นั้น..ปี 2013 โรงเรียน Nishiyamato Gakuen สามารถปั้นนักเรียนจำนวน 111 คนเข้ามหาวิทยาลัยโตเกียวและมหาวิทยาลัยเกียวโตได้สำเร็จ ในบรรดาโรงเรียนชั้นนำ พวกเขามีสถิติเป็นอันดับ 3 ของประเทศญี่ปุ่น
และเมื่อปี 2015 นักเรียนจากโรงเรียนแห่งนี้เข้ามหาวิทยาลัยเกียวโตได้ถึง 81 คน สถิติเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ
จากโรงเรียนที่เต็มไปด้วยเด็กเกเรในอดีต กลายเป็นโรงเรียนที่มีนักเรียนมากความสามารถ สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศได้เป็นจำนวนมาก ท่านผู้อำนวยการในยุคนั้นเปลี่ยนแปลงโรงเรียนอย่างไร อ่านไปพร้อม ๆ กันครับ
ท่านผู้อำนวยการมีชื่อว่าอาจารย์ Tanose Ryotaro เป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนแห่งนี้ ท่านเล่าว่านักเรียนที่นี่ ไม่ต้องพึ่งโรงเรียนกวดวิชา แค่มาเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ที่เดียวก็สามารถประสบความสำเร็จแบบที่กล่าวมาได้ เพียงแค่ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมสำหรับการเรียนรู้ที่โรงเรียนมอบให้ดังนี้
- โรงเรียนจัดให้แต่ละห้องมีจำนวนนักเรียนประมาณ 50 คน (โดยปกติแล้วค่าเฉลี่ยจำนวนนักเรียนต่อห้องในประเทศญี่ปุ่นจะอยู่ที่ 36 คน)
อาจารย์ Tanose เล่าว่า สมัยก่อนโรงเรียนกำหนดจำนวนนักเรียนต่อห้องประมาณ 30 คน แต่ในสิ่งแวดล้อมแบบนั้น ทั้งอาจารย์และนักเรียนจะใกล้ชิดกันเกินไป บรรยากาศสบาย ๆ คล้ายอยู่บ้าน (คนญี่ปุ่นใช้คำว่า At Home) ทำให้ผลการเรียนค่อย ๆ แย่ลงไปเรื่อย ๆ
อาจารย์เล่าว่า คนส่วนใหญ่คิดว่าการสอบเข้ามหาลัยคือการสู้กับตัวเอง แต่นั่นคือความคิดที่ผิด เพราะการสอบเข้ามหาลัยคือการสู้แบบหมู่คณะ การเพิ่มจำนวนคนคือการเพิ่มความรู้สึกการแข่งขันให้มีมากขึ้นในหมู่นักเรียน
- ก่อนเริ่มเรียนวิชา Homeroom อาจารย์จะให้นักเรียนทำ Mini Test คิดเลขเร็วประมาณ 6 นาที ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดีต่อนักเรียนมาก ๆ เมื่อมี Mini Test ทุกเช้า นักเรียนกลับบ้านไปก็จะทบทวนบทเรียน เป็นการสร้างนิสัยให้เกิดความเคยชินต่อการเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยครับ
นอกจากนี้ทุก ๆ วันอังคารหลังเลิกเรียน จะมีการสอบเพื่อทบทวนบทเรียนที่เรียนไปใน 1 อาทิตย์ด้วย
อาจารย์ Tanose เล่าว่า โรงเรียนทั่วไปจะประเมินผลการเรียนรู้นักเรียนในช่วงกลางภาค หรือปลายภาคเท่านั้น ซึ่งอาจจะช้าเกินไปแล้วในการติดตามประสิทธิภาพการเรียนรู้ของนักเรียนทุกคน การสอบทุก ๆ อาทิตย์จะช่วยให้โรงเรียนรู้ว่า นักเรียนคนไหนตามบทเรียนทัน หรือไม่ทันยังไงล่ะครับ แล้วจึงไป follow up เด็กต่อในลำดับต่อไป
- วิชาที่ให้ความสำคัญสูงสุดคือ “วิชาอ่านหลากหลาย” อนุญาตให้เรียนเฉพาะเด็กชั้น ม.2 และ ม.3 เท่านั้น อ่านชื่อวิชาแล้วเพื่อน ๆ คงสงสัยว่าวิชานี้ต้องทำอะไร!?
วิชาอ่านหลากหลายเป็นวิชาที่ให้นักเรียนอ่านหนังสือต่างประเทศให้มากที่สุด โดยให้นักเรียนเข้าไปอยู่ในห้องสมุดที่มีหนังสือภาษาอังกฤษวางเรียงรายประมาณ 5,000 เล่ม นักเรียนสามารถเลือกอ่านได้ตามใจชอบ โดยที่ปกหนังสือจะมีเขียนเอาไว้ว่า “เล่มนี้มีคำศัพท์ xxx คำ”
นักเรียนจะเริ่มต้นจากเล่มที่มีศัพท์ 100 คำก่อน ไม่อนุญาตให้ใช้ดิคชันนารี คำศัพท์ไหนไม่เข้าใจให้ข้ามไปเลย ถ้าไม่สนุกก็เลิกอ่านเล่มนั้นได้ แล้วให้หาเล่มใหม่สนุก ๆ แทน
อาจารย์อธิบายว่า แม้ไม่เข้าใจเนื้อหา แต่อ่านไปเรื่อย ๆ ก็จะเริ่มเข้าใจเอง คุ้นตากับคำศัพท์มากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากนั้นนักเรียนก็จะได้ฟังซีดี โดยเป็นเนื้อหาเดียวกันกับหนังสือที่ได้อ่าน เพื่อเพิ่มฐานคำศัพท์ในหัวให้มีมากขึ้น
อาจารย์ Tanose บอกว่า ทำแบบนี้ใช้เวลาแค่ 2 ปี มีนักเรียนบางคนสามารถอ่านแฮรี่พอตเตอร์ฉบับภาษาอังกฤษได้ด้วย (จำนวนคำศัพท์มากถึง 77,000 คำ)
ซึ่งนักเรียนที่ได้เรียนวิชานี้ต่างรู้สึกว่า เวลาผ่านไปเริ่มอ่านหนังสือเนื้อหายาก ๆ (ภาษาอังกฤษ) ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ
- จัดการสอนเป็นภาษาอังกฤษในวิชาเลือก เช่น วิชาพละศึกษา วิชาศิลปะ และวิชาดนตรี
ตอนแรกผู้อำนวยการเคยคิดจะให้การเรียนการสอนทุกวิชาเป็นภาษาอังกฤษ แต่กลัวจะมีผลกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัย (ซึ่งต้องใช้ภาษาญี่ปุ่น) จึงใช้ภาษาอังกฤษแค่วิชาเลือก
ที่อยากสอนด้วยภาษาอังกฤษเพราะเล็งเห็นว่า คนญี่ปุ่นฟังพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ อยากจะช่วยแก้ปัญหานั้น
นอกจากนั้นผู้อำนวยการอยากจะสร้าง Global Leader จึงมีโครงการให้นักเรียน ม.3 ได้ไปโฮมสเตย์ที่เมือง UTAH สหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 10 วัน อยู่ที่นั่นต้องใช้ภาษาอังกฤษ เรียนรู้ที่จะอยู่อาศัยกับครอบครัวชาวต่างประเทศ
ถ้าเขาได้มีประสบการณ์แบบนี้ ในอนาคตอาจารย์ Tanose เชื่อว่าพวกเขาจะออกไปต่างประเทศอีกครั้งอย่างแน่นอน
- นักเรียนใช้ IPAD ในการเรียน (เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2014) โดยอาจารย์เองก็ใช้ IPAD ในการสอนด้วยเช่นกัน
ผู้อำนวยการเล่าว่า วิธีนี้ช่วยลดเวลาเขียนกระดาน และร่นเวลานั่งทำแบบทดสอบในกระดาษของอาจารย์ได้เยอะเลยทีเดียว เมื่อทำได้แบบนี้ทำให้นักเรียนเรียนรู้ได้ไวขึ้น ลดเวลาอันไม่มีผลต่อการเรียนรู้ของเด็กนักเรียน
- บีบเนื้อหาการเรียน ม.1 - ม.6 ให้จบภายในครึ่งปีแรกของชั้น ม.5 เวลาที่เหลือจะใช้เป็นเวลาสำหรับเตรียมสอบ รวม 1 ปีครึ่งด้วยกัน
- 7. ให้นักเรียนได้ทำกิจกรรมนอกห้องเรียนด้วย
ผู้อำนวยการบอกว่า ถ้าเอาแต่เรียนอย่างเดียว ความสามารถทางการศึกษาคงไม่พัฒนาขึ้นได้ถึงขนาดนี้ ผมคิดว่าต้องให้นักเรียนได้ทำกิจกรรมนอกห้องเรียนด้วย เช่น Farm Stay 2 คืน 3 วัน, สำรวจการออกไข่ของเต่า, ปีนภูเขาไฟฟูจิ, เยี่ยมกรมศุลกากรสนามบินคันไซ, เข้าใจงานคุณหมอในโรงพยาบาล, โปรแกรมศึกษาต่างประเทศ เช่น เวียดนาม กัมพูชา
รวมทั้งสิ้น Nishiyamato Gakuen มีกิจกรรมนอกห้องเรียนให้เลือกถึง 39 อย่างด้วยกันครับ
แต่กิจกรรมที่ฮอตฮิตที่สุดในปัจจุบันคือ Summer Camp มหาวิทยาลัยโตเกียว ซึ่งนักเรียนจะมีโอกาสได้ทำกิจกรรมร่วมกับนักเรียนปัจจุบันของมหาวิทยาลัยโตเกียว หรือรุ่นพี่ที่จบไปแล้วเปิดกิจการของตัวเองอยู่ เป็นการเติมไฟให้นักเรียนอยากเข้ามหาวิทยาลัยแห่งนี้มากขึ้นด้วย
กิจกรรมนี้ดีมากถึงขนาดทำให้นักเรียนบางคนเจอฝันของตัวเองด้วย
- ความตั้งใจของคุณครู
ช่วงเวลาหลังเลิกเรียนตั้งแต่ 4 โมงถึง 6 โมงครึ่ง เป็นช่วงเวลาที่จัดไว้ให้นักเรียนปรึกษาคุณครู โรงเรียนจะจัดสถานที่ไว้ให้โดยเฉพาะ นักเรียนคนไหนสนใจปรึกษาคุณครู สามารถแวะเข้ามาปรึกษาได้
หลังจากเวลานั้นคุณครูก็จะโทรศัพท์หาผู้ปกครองเพื่อสื่อสารความคืบหน้าของเด็ก ๆ ให้ทราบ กระชับความสัมพันธ์ เพื่อความเชื่อใจเชื่อมั่นให้ผู้ปกครอง
- 9. กำหนดตำแหน่งให้คุณครูหลากหลายมากกว่า 30 ตำแหน่ง
โดยปกติแล้วโรงเรียนในญี่ปุ่นจะไม่ค่อยมีตำแหน่งให้บรรจุ อย่างมากก็ตำแหน่งผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการ ครูประจำชั้น แต่ที่โรงเรียนนี้สร้างตำแหน่งขึ้นมาหลากหลาย เช่น ครูผู้รับผิดชอบการเลื่อนชั้นของนักเรียน, หัวหน้าแผนกการศึกษานานาชาติ, ครูผู้รับผิดชอบพัฒนาสื่อการสอน เป็นต้น คุณครูที่ได้รับแต่งตั้งจะรู้สึกถึง “ความรับผิดชอบ” และโรงเรียนก็ยังมีเงินพิเศษให้กับตำแหน่งเหล่านั้นอีกด้วย
ด้วย 9 ข้อนี้ทำให้โรงเรียน Nishiyamato Gakuen เติบโตอย่างก้าวกระโดดกลายเป็นโรงเรียนชั้นนำของประเทศ ส่งนักเรียนเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำในญี่ปุ่นได้มากมาย ปั้นเด็กให้เป็นเลิศทั้งวิชาการ และมีทักษะที่สำคัญในการดำรงชีวิต
อ่านแล้วรู้สึกถึงความตั้งใจของท่านผู้อำนวยการ ที่อยากให้เด็กทุกคนในโรงเรียนของเขาเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดีของสังคม น่าชื่นชมเป็นแบบอย่างนะครับ หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ได้ฉุกคิดอะไรบางอย่าง และสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนที่ทำงานเกี่ยวกับวงการการศึกษาไทยนะครับ
ภัทรพล เหลือบุญชู
(Boom JapanSalaryman)
ผู้เขียนหนังสือ JapanSalaryman:เป็นได้มากกว่ามนุษย์เงินเดือน
Source :
1.http://johotrend.com/3410.html
2.https://book.mynavi.jp/macfan/detail_summary/id=65011
หน้าเว็บไซต์ของโรงเรียนจะเห็นเป็นกิจกรรมต่าง ๆ โดยคร่าวของเด็ก ๆ
บรรยากาศนักเรียนใช้ ipad เป็นเครื่องมือช่วยในการเรียนรู้ในห้องเรียน
3.https://openmatome.net/matome/upload/201608/7471470158179657.jpg
บรรยากาศวิชาอ่านหลากหลายสำหรับนักเรียนชั้น ม.2 และ ม.3 เท่านั้น
4.https://openmatome.net/matome/upload/201608/8451470158399728.jpg
จะมีการระบุจำนวนคำศัพท์ไว้ที่หน้าปกเพื่อให้นักเรียนรู้ว่า ในเล่มนั้น ๆ มีคลังคำศัพท์กี่คำ
5.http://www.kankakuyamato.com/blog/20170429.html
ผู้ก่อตั้งโรงเรียน ท่านอาจารย์ Tanose Ryotaro