โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

บันเทิง

ทราย เจริญปุระ เผยที่มาคำพูด "ไม่คิดว่าจะมีเพื่อน" หลังตัดพ้อในงานศพแม่

Khaosod

อัพเดต 15 ต.ค. 2562 เวลา 11.48 น. • เผยแพร่ 15 ต.ค. 2562 เวลา 11.48 น.

ทราย เจริญปุระ เผยที่มาคำพูด “ไม่คิดว่าจะมีเพื่อน” หลังตัดพ้อในงานศพแม่

เพิ่งสูญเสียคุณแม่ไปอย่างไม่มีวันกลับ สำหรับนักแสดงสาวมากฝีมือทราย เจริญปุระ ล่าสุดเจ้าตัวได้มาเปิดใจผ่านทางรายการ คุยแซ่บShow ทางช่องONE31 ที่มีหนิง ปณิตา และ บุ๋ม ปนัดดา เป็นพิธีกร พร้อมเผยเรื่องความรักที่ไม่คิดแต่งงานและไม่คิดจะมีลูก

คลิกติดตาม ข่าวบันเทิงฮอตๆ ได้ที่นี่

เพิ่มเพื่อน
เพิ่มเพื่อน

ขอแสดงความเสียใจอีกรอบหนึ่ง?
“ขอบคุณมาก อย่างที่ได้เห็นจนถึงตอนนี้ก็ยังงงๆ อยู่นิดหน่อย มันไม่ใช่เรื่องที่ตื่นมาแล้วหายเลย

ย้อนกลับไปตอนที่คุณแม่จะเสีย ก่อนหน้านั้นเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น?
“จริงๆ เป็นผลต่อเนื่องมาจากอาการป่วยของเขา นั่นก็คือโรคสมองเสื่อม ถือว่าเร็วเกินไปมั้ยสำหรับวัยประมาณแม่ คนจะคิดว่าอาการนี้จะมาประมาณ 60-70 แหละ แต่แม่ทรายเริ่มเป็นประมาณ 59-60 ปี ดังนั้นก็คือมันค่อนข้างเร็ว แล้วทั้งหมดทั้งมวลมันขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองด้วย

ซึ่งแม่เราเขาจะมีปัญหาหลักๆ ในเรื่องของสุขภาพก็คือโรคซึมเศร้า ซึ่งเป็นมาตั้งแต่สาวแล้ว ดังนั้นกำลังใจที่เขาควรจะมีในการดูแลตัวเองในการป่วยมันก็น้อยลง แล้วมันก็ต้องทำคู่กันไป ซึ่งอันนี้ที่ยาก แล้วก่อนหน้านี้ก็เป็นปัญหามากๆ ในการที่ต้องดูแลกัน”

คำว่าโรคสมองเสื่อมไม่ค่อยได้ยิน จริงๆ โรคสมองเสื่อมมันคือโรคอะไร?
“คือคนจะคุ้นกับอัลไซเมอร์มากกว่า คืออัลไซเมอร์มันก็เป็นอาการสมองเสื่อมอย่างหนึ่ง แต่สมองเสื่อมในที่นี้มันเกิดได้จากหลายสาเหตุ มีก้อนเส้นโลหิตในสมอง เกิดจากการไม่ดูแลตัวเอง หรือว่าใช้อะไรมาเป็นระยะเวลานาน จริงๆ แล้วหลายคนพออายุเยอะขึ้นมีอุปนิสัยอะไรที่แปลกไปก็อาจจะมีปัญหา เกิดจากตรงนี้ด้วย”

พอบวกกับอาการที่แม่เป็นโรคซึมเศร้า มันก็เลยกลายเป็นว่าแทนที่จะกู้ร่างกายหรือสภาวะจิตใจให้แข็งแรงมันกลายเป็นว่าแย่ลงไป?
“มันก็ยิ่งแย่ลงไป เพราะว่าเขามีแนวโน้มอยากฆ่าตัวตายอยู่ตลอด ซึ่งพอถึงจุดหนึ่งเราต้องแอดมิตแม่เข้าศรีธัญญา ซึ่งเป็นเรื่องเป็นราวมากตอนนั้นว่าทำไมอย่างนั้น ทำไมอย่างนี้ แล้วเกี่ยวอะไร เอาแม่ไปทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลบ้า คือการโดนแม่โทร.บอกทุกวันว่าวันนี้เขาจะตายยังไงมันแบบ…ซึ่งในทางปฏิบัติมันก็ไม่ได้ เพราะเราเป็นหัวหน้าครอบครัว เราไม่สามารถไปนั่งอยู่เฉยๆ แล้วมียาหล่นมาจากฟ้าให้เรากินได้ เราก็ต้องออกมาทำมาหากิน แล้วมันก็ไม่ใช่งานที่แปลกอะไร เพราะเราทำงานนี้มาตั้งแต่ 14 ปีแล้ว

แม่ก็รู้ แม่เป็นคนดูคิวให้ วันหนึ่งเขามีปัญหาเรื่องความจำเขาดูคิวหรืออะไรให้เราไม่ได้ เขาก็รู้สึกว่าลูกหลุดมือออกไปเรื่อยๆ เหมือนกับเขาไม่มีความสำคัญกับเรามากขึ้น ซึ่งมันไม่จริงเลย มันไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว แต่ว่าเวลามันเปลี่ยนไป เราก็ต้องทำ แต่ด้วยความที่เขาเป็นซึมเศร้าบวกเข้าไปตรงนี้ คือเขาพูดอย่างนี้ทุกวันจนเราต้องมานั่งเก็บมีด เก็บข้าวของทุกอย่างที่มันอาจจะเป็นอาวุธ ซึ่งมันยากมาก”

อยากจะพูดอะไรกับคนที่เข้าใจเราคลาดเคลื่อนไหม?
“คือแรกๆ น้อยใจ ทำไมทุกคนต้องมาจิกเอาอะไรหนักหนา คือชีวิตมันก็ยากมากแล้ว เราก็เหนื่อยมากแล้ว แต่ว่าพอมาถึงจุดหนึ่งก็รู้สึกว่าแค่คนไม่ได้อยู่ในภาวะเดียวกับเรา เขายังไม่ต้องตัดสินใจกับเรื่องแบบนี้ ยังไม่เคยต้องเลือก มันมีทางเหลือน้อยเหลือเกิน มันมี 2 ทางเท่านั้น ไม่ได้อยากจะทำความเข้าใจอะไรมากขึ้นหรอก เราว่าหลังๆ ที่มีคนเข้าใจมากขึ้นบ้างก็ถือว่าดีแล้ว ซึ่งจริงๆ ไม่ต้องเข้าใจเราเลยก็ได้ เพียงแต่ว่าในชีวิตของคนทุกคนพอถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจจริงๆ มันไม่ได้มีเวลาให้เรามาก”

ถามถึงเรื่องที่ หนิง ปณิตา โพสต์หน่อย ตอนนั้นพูดด้วยอารมณ์ไหน?
“มันตกใจเหมือนกัน คือถ้าเป็นคนที่โตๆ กว่าเราก็คือเขาเคยทำงานกับแม่แหละ เราจะรู้สึกว่าเขาคิดถึงแม่ แต่พอเป็นเป้ย(ปานวาด) เป็นหนิง(ปณิตา) เป็นอั้ม(พัชราภา) เป็นโอปอล์(ปาณิสรา) เราจะรู้สึกว่าอยู่ๆ เรามีเพื่อนเป็นดารา ไม่อะ…มันคือยังไงไม่รู้บอกไม่ถูก คือทรายไม่ชอบให้ใครต้องมาคอยเป็นห่วงเรา หรือว่าเอาเงื่อนไขของเรา…แบบวันนี้รีบนะ จะรีบกลับไปดูแม่ ไม่ดีอะ ทรายว่าไม่ควร”

แต่ชีวิตประจำวันทรายไม่เคยทำตัวเป็นดาราเลย?
“ใช่ๆ มันก็เลยไม่ชินเป็นพวงหรีดจากดารา เขามีอะไรทำตั้งเยอะ อย่างแม่เป้ย เราก็ตามดูไอจี ลูกเขาน่ารัก เราก็ไม่เคยทำงานกับเป้ย เป้ยส่งมาตั้งแต่วันแรกๆ เรารู้สึกแบบว่าโอ้โห! รวมถึงคนที่ไปงานศพหลายๆ คน ไม่คิดว่าเขาจะมา ไม่ใช่คิดว่าเขาไม่มีน้ำใจ แต่คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่เขาจะให้ความสนใจหรือสำคัญขนาดนั้น

แม่ได้สั่งเสียอะไรไว้ไหม?
“ไม่มีอะไรเลย แต่แกก็เตรียมตัวมาก บ้านทรายพูดถึงเรื่องความตายเป็นปกติ แม่เขาก็เลือกรูป สั่งเสียว่าเอางานแบบนี้ งานไม่ต้องจัดเยอะ อย่าให้คนเห็นฉันเยอะ เพราะฉันไม่สวย สิ่งที่เขาสั่งไว้ เขาสั่งไว้ตอนที่เขายังแข็งแรงนี่แหละ ไม่ได้มาสั่งตอนป่วย”

วินาทีที่รู้ว่าแม่เสีย?
“วันนั้นจริงๆ ตอนเช้าจะลงไปเพื่อเช็ดตัว แล้วดูว่าพี่ที่เป็นพี่เลี้ยงแม่เขาจัดการนู่นนี่นั่นเสร็จหรือยัง เขาก็ขึ้นมาบอกก่อนว่าแม่เสียแล้ว เราก็แบบเห้ย! จริงเหรอ เขาไม่ได้เข้าขั้นตรีทูต เขาก็นอนเฉยๆ”

สรุปคุณหมอวินิจฉัยว่า?
“ระบบในสมองมันล้มเหลว แล้วทุกอย่างมันก็หยุดทำงานไปเท่านั้นเอง”

ตอนรดน้ำศพบอกอะไรกับคุณแม่?
“คือแม่ก็สั่งไว้เวลารดไม่เอารดแบบที่เขารดกัน เอาเฉพาะให้ลูกๆ แค่นั้นพอ เอาจริงๆ ในหัวมันโล่งมาก เราพยายามนึกว่าแม่สั่งอะไรอีกหรือเปล่า แล้วนึกไม่ออก แต่ก็คิดว่าคงไม่มีแล้วมั้ง คนที่มาทำพิธีก็บอกว่าให้คุยกับแม่นะ บอกให้แม่ให้ไปไหว้พระนะ ในใจเราก็คิดว่าแม่ไม่ชอบไปวัด แม่จะยอมไหว้พระหรือเปล่า แต่คราวนี้แม่ต้องไหว้”

ถ้าแม่ฟังอยู่อยากบอกอะไรกับแม่?
พี่ทรายโอเคเหมือนเดิมแหละ แต่ว่ามันก็แปลกๆ ทรายต้องทำอะไรหลายอย่างมากเลยตอนที่แม่ป่วย เราก็รู้อยู่แล้วว่าวันหนึ่งมันต้องจบด้วยอะไรแบบนี้ ลองทำอะไรหลายอย่าง ไปเที่ยวเอง แต่ว่ามันไม่คุ้น แล้วเราก็คิดว่ามันต้องใช้เวลาปรับตัว คิดว่าทำได้แหละ แต่มันต้องใช้เวลา แต่ก็ไม่ได้อยากให้แม่เป็นห่วงอยู่ดี เพราะว่าแม่ไม่ได้เลี้ยงมาให้เขาเป็นห่วง แต่ว่ามันประหลาด หลังจากนี้เวลาไปเที่ยวหรือว่าไปทำอะไร คือเราก็ไม่ต้องมาเล่าให้แม่ฟังแล้ว

เรื่องหัวใจก็มีคนคุย แต่ทำไมไม่สามารถไปแนะนำกับคุณแม่ได้?
“เอาตั้งแต่เรื่องเพื่อนก่อน ตั้งแต่เด็กๆ แม่ทรายเขามีนโยบาย ไม่ให้ลูกไปนอนบ้านเพื่อน ไม่ให้เพื่อนมานอนบ้าน ไม่ต้องให้ใครมาส่ง ลูกฉันต้องดูแลตัวเองได้ ทำไมต้องมาส่งเคยมีคนที่เหมือนจะจีบเรา แล้วมาส่ง แม่ก็เดินไปถามว่าทำไมต้องมาส่งเรา มีปัญหาอะไรเหรอ คือแม่ทำวงแตกอยู่ตลอด เราก็ขำนะ คือไม่ได้รู้สึกอะไร

เราก็จะบอกทุกคนที่เข้ามาคุยว่าแม่เป็นแบบนี้ ไม่สามารถเปลี่ยนเขาได้ เขาก็รู้ว่ามีคนคุย แต่เขาจะทำเป็นไม่รู้ จนกระทั่งวันหนึ่งเขายอม แล้วสุดท้ายพอเลิกรากันไป เขาก็จะบอกว่า เนี่ยเห็นมั้ย…ฉันอุตส่าห์ดีกับเขา เขาก็ยังเลิกกับแก เราก็เลยแบบไม่เอาแล้วนะอยู่กับแม่นี่แหละ”

เคยน้อยใจไหม แม่จะห้าวไปไหน?
“เคยถามเขาแบบ…แม่ไม่เคยคิดจะตายเหรอ วันหนึ่งถ้าแม่ตายแล้วยังไง แม่บอกก็ฉันฝึกมาแล้วทุกอย่างให้แกอยู่คนเดียวได้”

แสดงว่าแฟนคนล่าสุดยังไม่เคยแนะนำให้แม่รู้จัก?
“ไม่เคยเลยคือด้วยเหตุผลทางอาการของแม่ เพราะว่าเราไม่อยากให้เขาสับสน มันเป็นข้อมูลใหม่ที่บางทีคนป่วยมันจะกรองไม่ทัน เราพยายามให้ชีวิตเขาเป็นรูทีน ไม่ใช่มีอะไรอยู่ๆ ก็โผล่มา ซึ่งทรายก็บอกเขาตรงๆ ว่ามันมีเหตุผลแบบนี้ๆ เขารับได้”

เขาเคยมีคุยเรื่องแต่งงานไหม?
“เคย แล้วทรายบอกว่าคงไม่แต่ง เพราะมันไม่ได้ต่างอะไรกับตอนที่อยู่กันทุกวันนี้ มันก็ดีอยู่แล้ว เพราะเราไม่ได้คิดว่าจะมีลูก บอกเขาว่าถ้าไม่โอเคก็รีบเลยนะ รีบถอยเลยจะได้ไม่เสียเวลาชีวิตกันทั้งคู่ คือโรคที่เราเป็นแม่เป็น มันเป็นกรรมพันธุ์ ไม่อยากให้ลูกมาวัดดวงกับสิ่งที่เราเจอมา เราเชื่อว่าตัวเองไม่ได้เข้มแข็งขนาดแม่ที่จะรับมือกับการเลี้ยงลูกได้

คือตอนนั้นที่แม่เป็นเขาก็ไม่รู้หรอกว่าเขาจะเป็น เขามีลูกออกมาก็ไม่ได้ตั้งใจหรอกว่าเขามีลูกทั้งๆ ที่เขาป่วย เขาก็ไม่รู้ว่าเขาจะป่วย วันหนึ่งพอแม่ป่วยเราเห็นความเหนื่อย ความต้องฮึบของเขา เขาก็พยายามดีที่สุด เท่าที่เขาทำได้ รู้ตัวว่าเราไม่มีความพยายามขนาดนั้นแน่ๆ

เหมือนพ่อแม่แฟนก็อยากให้มี?
“เป็นธรรมดา แต่เราก็ได้ทำลายความฝันของเขาไปด้วยคำพูด คือเหมือนพ่อแม่เขาเปรยๆ ว่าคนข้างบ้านเลี้ยงหลานน่ารักอะไรทำนองนี้ เราก็บอกว่าดีค่ะ แม่ก็ช่วยเขาเลี้ยงไปเลย เพราะว่าหนูไม่มี

ติดตามรายการ คุยแซ่บShow ได้ทุกวันจันทร์-ศุกร์ 13.30-14.30 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama

คลิปสัมภาษณ์ ทราย เจริญปุระ

ขอบคุณภาพ IG : itr

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0