โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

บันเทิง

ตายไป 27 ปี ปู วิชชุดา ยังดูแลพ่อแม่อยู่ แม่ใจสลายเพราะคำพูดลูกอีกคน

ไทยรัฐออนไลน์ - บันเทิง

อัพเดต 28 ม.ค. 2563 เวลา 07.43 น. • เผยแพร่ 27 ม.ค. 2563 เวลา 10.30 น.
ภาพไฮไลต์
ภาพไฮไลต์

27 ปีผ่านไป แม้จะพยายามลืมสักแค่ไหน แต่ แม่ต้อย กัญญา สวนสุวรรณ ก็ไม่อาจลืมเย็นวันที่ 7 ม.ค. 2536 ได้เลย เมื่อลูกสาวแก้วตาดวงใจที่กำลังเป็นนางเอกดาวรุ่งวัย 19 ปีที่อย่าง ปู วิชชุดา สวนสุวรรณ ได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับด้วยอุบัติเหตุที่โค้ง 100 ศพกิ่งแก้ว

ปู วิชชุดา สวนสุวรรณ
ปู วิชชุดา สวนสุวรรณ

เด็กสาววัย 19 ปีกับความฝันอยากมีบ้าน

ไทยรัฐออนไลน์เดินทางไปหา แม่ต้อย ณ บ้านทาวน์เฮาส์ ที่ตั้งอยู่ย่านธัญบุรี จ.ปทุมธานี เพราะคิดถึงและได้ยินข่าวคราวว่าวันนี้พ่อกับแม่ขาดกำลังใจในการใช้ชีวิต ที่บ้านหลังนี้ที่ดูทรุดโทรมเราได้นั่งคุยกับผู้หญิงสูงวัยที่แววตายังคงอมทุกข์ 

"ไม่เคยลืม 27 ปีแล้วแต่ไม่เคยลืมได้เลย ตั้งแต่ 7 ม.ค. 2536 จนถึงวันนี้คิดถึงเขาอยู่ตลอดเวลา ตอนเขาเสียแม่อายุ 39 ตอนนี้แม่ 66 แล้ว ทุกวันเวลาคิดถึงก็เอารูปมาดู ดูไปก็ร้องไห้ตลอด คือถ้าใครเจอจะรู้ว่ามันลืมยาก แม่ไม่รู้จะลืมยังไง อยากลืมนะแต่จะทำยังไงก็ไม่รู้” แม่ต้อยเล่าให้เราฟังพร้อมกับปาดน้ำตา

แม่ต้อย หวนอดีตเกือบ 30 ปีให้เราฟังว่า ตอนนั้นก่อนที่ ปู วิชชุดา จะเข้ามาในวงการบันเทิง ครอบครัว “สวนสุวรรณ” มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างครอบครัวธรรมดาทั่วไป มีพ่อเป็นช่างอะลูมิเนียม ส่วนแม่เป็นแม่บ้านดูแลลูก “บ้านเราไม่ได้ร่ำรวยขนาดนั้น แต่ว่าก็อยู่สบายไม่มีอดยาก พ่อก็ทำงานหาเงิน แม่ก็เลี้ยงลูกไป”

วัยเด็กของ ปู วิชชุดา
วัยเด็กของ ปู วิชชุดา

ปู วิชชุดา เข้าวงการจากการตามพี่ข้างบ้านไปดูรายการมาตามนัดแล้วเกิดไปเข้าตาโมเดลลิ่ง และได้เริ่มถ่ายทำโฆษณาในปี 2533 ก่อนที่ อาหรั่ง ไพรัช สังวริบุตร จะเรียกเข้ามาเล่นละครในปี 2534 และโด่งดังอย่างสุดขีดกับละครเรื่อง “อรุณสวัสดิ์” ในปี 2535 คู่กับพระเอกน้องใหม่ชื่อ “ศรราม เทพพิทักษ์”

ครั้งหนึ่ง ปู วิชชุดา เคยบอกแม่ต้อยไว้ว่า อยากมีบ้าน “เขาบอกว่าอยากมีบ้าน ตอนนั้นเราอยู่แฟลตที่คลองจั่น เขาก็พูดเล่นกับแม่ว่าบ้านเราตอนนี้เหมือนอยู่ในกล่อง เพราะมันเป็นห้องสี่เหลี่ยม เขาบอกว่าเขาอยากออกจากกล่องแล้ว พอเขาได้ทำงานในวงการก็ช่วยพ่อทำงานหาเงิน แต่เก็บได้ไม่เท่าไหร่เขาก็ไป…”

สุดท้าย ปู วิชชุดา ก็ไม่ได้ซื้อบ้านในขณะที่ยังมีลมหายใจ!!!

ดวงใจแม่ต้อย-พ่อเลี่ยม สลายในวันที่ 7 ม.ค.36
ดวงใจแม่ต้อย-พ่อเลี่ยม สลายในวันที่ 7 ม.ค.36

มัจจุราชกระชากความฝัน พรากลูกสาวจากแม่

7 ม.ค.2536 เอี๊ยดดดดดดด!! โครม!!!! สิ้นเสียงการประสานงาของรถ 2 คันบนโค้งกิ่งแก้ว ดวงดาวที่กำลังเจิดจรัสบนท้องฟ้าต้องดับสูญ ปู วิชชุดา จากไปด้วยวัยเพียง 19 ปี…

ทันทีที่ได้รับสายโทรศัพท์จากตำรวจที่แจ้งการเสียชีวิตของลูกสาว หัวใจแม่ต้อยแหลกสลายไม่อาจยอมรับความจริงใดๆ

“วันนั้นแม่จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าไปถึงโรงพยาบาลได้อย่างไร ไปถึงเห็นเขานอนอยู่บนเตียงอยู่ในห้องโรงพยาบาล เห็นแต่รองเท้า เราบอกตัวเองว่าไม่ใช่ แต่เห็นแค่รองเท้าเราก็รู้แล้วว่ามันใช่ จนไปเปิดหน้าดู คราวนี้มันชัดเจนแล้วว่าเป็นลูกเรา ได้แต่เรียกหมอมาช่วย ว่าลูกยังไม่ตายตัวยังร้อนอยู่ ใครจะมาเข็นลูกไปเก็บในห้องเก็บศพ ก็ไม่ยอม จะพาแต่ลูกกลับบ้าน”

ในทุกวันของการสวดอภิธรรมศพลูกสาว แม่ต้อย เป็นลมต้องเข้าโรงพยาบาลทุกวัน ไปวัดก็ไปนั่งดูแบบลอยๆ หลอกตัวเองในทุกวันว่าลูกไปถ่ายละคร ไปเรียน เดี๋ยววันศุกร์ก็กลับมา "ตอนงานศพก็มีพี่รองพี่ทุม (อารอง-แม่ทุม ปทุมวดี เค้ามูลคดี) ช่วยจัดการเพราะพ่อกับแม่ไม่มีสติแล้ว ทุกวันนี้เราก็ยังสำนึกในบุญคุณเขาที่ช่วยเหลือเรามากมาย ลำพังแม่พ่อคงไม่รู้เรื่องจัดงานอะไรได้"

สูญเสียแบบเตรียมใจไม่ทัน
สูญเสียแบบเตรียมใจไม่ทัน

หลังจากจบงานศพ ร่างของ ปู วิชชุดา เหลือเพียงเถ้ากระดูก ทุกอย่างคือความเป็นจริงที่ครอบครัวสวนสุวรรณต้องเผชิญ พ่อ แม่ น้องชาย ของปู วิชชุดา ประคองกันกลับมาที่แฟลตคลองจั่น ทุกอย่างดูเงียบงัน สามคนพ่อแม่ลูกนั่งกองกันอยู่กลางแฟลตในห้องโล่งๆ

“มันเงียบจนน่ากลัว 2 ปีจากนั้นแม่ไม่ติดต่อใครเลย ไม่คุยกับใคร ไม่เปิดประตูรับใคร ไม่ไปไหน ตรงไหนที่ลูกเคยไป ไม่ไป อะไรที่ลูกเคยกินไม่กิน หลับได้ด้วยยา แม้แต่น้ำก็กินไม่ลง เป็นอยู่อย่างนี้จนเดินไม่ได้ เวลาพ่อกับลูกชายออกไปข้างนอกจะไปนั่งรออยู่หน้าบ้านไม่กล้าอยู่ในห้อง เพราะเรากลัวสองคนที่เราเหลืออยู่เขาจะไม่กลับมาอีกเหมือนปู”**

ตลอดเวลา แม่ต้อย ได้แต่โทษตัวเอง ระบายความรู้สึกทั้งน้ำตา “แม่คิดตลอดว่าเราต้องไปก่อนลูกไม่เคยคิดว่าลูกจะทิ้งไป ถึงจะยากดีมีจนแต่เราก็อยู่กันมาอย่างมีความสุข พาลมาโทษตัวเองว่าไม่น่าให้ลูกไปเรียนที่บางแสน ไม่น่าให้ลูกขับรถ ไม่น่าให้ลูกเข้าวงการ คิดไปไกลขนาดว่าทำไมไม่จับลูกล่ามโซ่ไว้ในบ้าน ยอมให้ลูกเกลียดเราดีกว่าถ้าลูกยังอยู่ ทำไมไม่ทำ โทษตัวเองอยู่อย่างงี้ ถ้าเราไม่ให้เขาวงการ ไม่ให้ขับรถ ไม่ให้ไปเรียนบางแสน ลูกก็ไม่ตาย”

แม่ต้อย เป็นแบบนี้อยู่ 4 ปี หลังลูกสาวจากไปจนพ่อเลี่ยม สวนสุวรรณ พ่อของ ปู วิชชุดา ทนไม่ได้ต้องทำอะไรสักอย่าง “เขาจับเราขึ้นรถไปด้วย ไปดูสิ ที่ๆ ปูมันไป ไปแล้วมันหายใจไม่ออกมั้ย พาไปกินข้าวร้านที่ปูมันกิน กินแล้วตายมั้ย ถ้าตายแล้วตายไปเลย แต่ถ้าไม่ตายก็ต้องอยู่ต่อให้ได้ กว่าจะดีขึ้นก็ 4 ปี”

“ทุกวันนี้ผ่านมา 27 ปี ที่ผ่านมา ก็ยังหนักเหมือนเดิมเหมือนวันแรก จำได้ทุกเม็ด เรื่องที่เราอยากลืมไม่ลืม ทีเรื่องที่เราอยากจำไม่จำ ที่อย่างอื่นลืมหมด แต่เรื่องนี้เรื่องเดียวยังไงก็ไม่ลืม ยิ่งถึงช่วงครบรอบวันตายลูกแต่ละปี ความรู้สึกเหมือนเปิดสวิตช์เลยนะ มันทรมานจนไม่รู้จะทำยังไง”

แม้ 27 ปีผ่านไปแต่ไม่เคยลืมลูกสาว
แม้ 27 ปีผ่านไปแต่ไม่เคยลืมลูกสาว

แม่ต้อย เคยบวชชี นั่งสมาธิ แต่ทำแล้วก็ยังลืมไม่ได้ ซึ่งเธอยอมรับว่าเป็นเรื่องของจิตใจที่ยังไม่ดีขึ้น“เป็นอะไรที่ทรมานนะ แต่เวลาก็ช่วยให้ดีขึ้นได้บางส่วน แต่ก่อนพูดถึงไม่ได้เลย แต่ตอนนี้พูดถึงได้ บางทีคนเดินในห้างยังมาถาม ใช่แม่ปูหรือเปล่า เราก็ดีใจนะ ที่คนยังไม่ลืม ปูเขาเข้ามาในวงการไม่กี่ปีเองแต่คนไม่ลืมเขา เวลามีคนมาทักทายจำลูกปูได้ก็จะทำให้เรามีรอยยิ้มได้ (ยิ้ม)”

ไม่เชื่อ!! ลูกกลับมาเกิดเป็นหลาน
“ถ้ากลับมาเกิดจริง ทำไมลูกชายไม่พาหลานกลับมาหาย่าบ้าง”

เมื่อหลายปีก่อนรายการ ตีสิบ เคยนำเสนอเรื่องราวที่ ปู วิชชุดา กลับชาติมาเกิดมาเป็นหลาน ซึ่งเรื่องนี้ แม่ต้อย บอกว่าไม่เชื่อ!

“แม่ไม่เชื่อ” หญิงในวัยใกล้ชราตอบทันทีที่เราถามเรื่องการกลับชาติมาเกิดเป็นหลานของลูกสาว “ถ้าเป็นปูจริงเขาจะต้องนึกถึงพ่อแม่เขาไหม ในเมื่อปูเขาผูกพันกับพ่อแม่จะตาย แต่นี้ไม่ได้มีความรู้สึกว่าปูกลับชาติมาเกิด แม่ว่าไม่น่าใช่ หลานแม่ก็ไม่ได้เจอพอลูกชายเขามีครอบครัวแล้ว ก็ไม่ได้คุยกันเลย จะติดต่อมาก็แค่มีธุระอะไร

อย่างตอนประมาณปี 58 เขาโทรมาหาให้พ่อไปช่วยงานขับรถสวัสดิการกองถ่าย ให้แม่ไปช่วยแม่ครัวทำกับข้าว พ่อได้ค่ารถวันละ 1,200 บาท แม่ได้ค่าแรงวันละ 500 บาท ตื่นตี 2 กลับบ้าน 4 ทุ่ม พ่อกับแม่อยากมีรายได้ก็ไปทำ”

“ไม่ได้คุยกันเลย” เมื่อได้ยินประโยคนี้ เราสะดุดใจ แต่ยังไม่ได้เอ่ยปากถามออกไปว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัว “สวนสุวรรณ” หลังการเสียชีวิตขอลูกสาวคนโต…

แม่ต้อย หวนคิดถึงลูกสาว
แม่ต้อย หวนคิดถึงลูกสาว

โชคชะตาเล่นตลก! พ่อแม่ประสบอุบัติเหตุอาการโคม่า

เหมือนเคราะซ้ำหลังจากการไปทำงานที่กองถ่าย อุบัติเหตุทางรถยนต์เกือบพรากชีวิตของ แม่ต้อย-พ่อเลี่ยม ทั้งคู่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ถึงขนาดที่ตำรวจที่เข้าตรวจที่เกิดเหตุเอ่ยปากว่าโชคดีที่รอดมาได้ แต่สำหรับ แม่ต้อย กลับไม่คิดเช่นนั้น เพราะถ้าโชคดีวันนั้นแม่คงได้ไปอยู่กับลูกปู “ทำไมวันนั้นไม่พาพ่อแม่ไปอยู่ด้วยล่ะลูก”

“วันนั้นไปกองถ่ายที่น้ำตก พ่อขับรถตู้ขึ้นๆ ลงๆ ไปถ่ายบนเขาพาแม่เอากับข้าวไปให้พระเอกนางเอก เขากินเสร็จ เราก็เก็บของลงมาข้างล่าง จังหวะที่ขับลงเขารถเบรกไม่อยู่ รู้ตัวอีกทีก็โครมลง ต้นหางนกยูง โชคดีที่ลงไปเจอต้นนี้เพราะไม่งั้นก็คือตกเหว ตำรวจเขายังบอกเลยรอดมาได้ยังไงสองคนนี้”

แม่ต้อยตอนประสบอุบัติเหตุ
แม่ต้อยตอนประสบอุบัติเหตุ
อาการพ่อเลี่ยมหลังประสบอุบัติเหตุ
อาการพ่อเลี่ยมหลังประสบอุบัติเหตุ

อาการตอนนั้น พ่อเลี่ยม สลบเลือดออกปากออกจมูก แต่อยู่โรงพยาบาลไม่นานเท่า แม่ต้อย เพราะพอมารักษาตัวแล้วอาการของแม่หนักกว่า กระดูกสันหลังหัก แขนหัก ข้อมือหลุด

“ตั้งแต่นั้นมาก็ทำงานไม่ได้ แม่อยู่โรงพยาบาล 18 วัน ค่าใช้จ่ายนอกจากเงินจากประกันที่เหลือแม่ออกเองทุกบาททุกสตางค์ สลึงเดียวก็ไม่มีใครออกให้ คร่าวๆ สองคนประมาณ 200,000 บาท

จากนั้นแม่รักษาตัวไปกลับๆ โรงพยาบาล อาทิตย์ละ 2 วันอยู่ 1 ปี ต้องไปโรงพยาบาลเอง เพราะรถตู้พังยับเยินต้องขายซาก และแม่มาอยู่ธัญบุรีมันไกล นั่งแท็กซี่ก็ไม่ไหวเพราะกระดูกสันหลังหัก ปวดมาก เดินทางแต่ละครั้งต้องนอนไป ก็เลยต้องเหมารถเขาไปกลับวันละ 3,000 บาท”

เมื่อเราถาม แม่ต้อย ว่าแม่เอาเงินที่ไหนมารักษาตัวเองมากมายขนาดนี้ “เงินเก็บที่ปูเขาเหลือไว้ให้แม่” คือคำตอบที่มาพร้อมการหลั่งน้ำตาของแม่ต้อย

แม้เสียชีวิตไปถึง 27 ปีแต่ ปู วิชชุดา ก็ยังเป็นลูกสาวคนโตที่ส่งเสียเลี้ยงดูพ่อแม่ในวัยแก่เฒ่า…

แม้จากไปแต่ยังดูแลพ่อแม่ได้
แม้จากไปแต่ยังดูแลพ่อแม่ได้

แม้ตายแล้วแต่ ปู วิชชุดา ยังดูแลพ่อแม่ได้

ปู วิชชุดา เข้าวงการเพียง 2 ปี ก็เสียชีวิต ตลอด 2 ปีในวงการบันเทิง ปู ทำงานจนมีเงินเก็บ 1 ก้อน ที่เธอตั้งใจจะซื้อบ้านให้พ่อแม่อยู่ และเงินก้อนนี้เองที่ตลอด 27 ปีหลังจากลูกสาวที่เป็นแก้วตาดวงใจเสียชีวิต แม่ต้อย ได้ใช้มันเพื่อดูแลทุกคนในครอบครัว

หลัง ปู วิชชุดา เสียชีวิต แม่ต้อย ทำฝันของลูกสาวที่อยากมีบ้านให้เป็นจริง แม่ตัดสินใจดาวน์ทาวน์เฮาส์หลังเล็กๆ ราคาหลักแสนไม่ถึงล้านบาท แถวรังสิต-ธัญบุรีอยู่ และใช้เงินที่ลูกสาวทิ้งไว้ให้ทยอยผ่อนไป

สองตายายไม่หยุดทำงาน แม่ต้อย เคยทำงานดูแลหอพักที่พัทยาและยังเคยเป็นพนักงานขายของในห้าง ส่วนพ่อเลี่ยม เคยขับรถตู้สายกรุงเทพ-พัทยา ก่อนลูกชายจะให้พ่อมาขับรถตู้กองถ่ายเหมาวันละ 1,200 ส่วนแม่ให้มาเป็นผู้ช่วยแม่ครัวได้วันละ 500 บาท

“เรื่องการเงิน แม่อยู่ได้ ไม่ได้เดือดร้อน เงินทองที่ลูกปูทิ้งไว้ เราเอาไปซื้อรถตู้ให้พ่อเอาไว้ขับรับจ้างหาเงิน และเก็บไว้ผ่อนบ้าน ส่วนเรื่องกินอยู่ก็ทำงานของเราสองคนไป เราไม่ได้กินอะไรกันเยอะแยะ บ้านก็ไม่ได้เช่า เลยไม่ได้สิ้นเปลือง จึงไม่ต้องไปยุ่งกับเงินเก็บที่ปูเหลือไว้ให้มากนัก”

รอยยิ้มของสาวน้อยที่ยังเลี้ยงดูพ่อแม่ที่แก่เฒ่าแม้ตัวเธอจะไม่อยู่แล้ว
รอยยิ้มของสาวน้อยที่ยังเลี้ยงดูพ่อแม่ที่แก่เฒ่าแม้ตัวเธอจะไม่อยู่แล้ว

ตั้งแต่ปี 2536-2558 ผ่านไป 22 ปีเงินของ ปู วิชชุดา ทำให้พ่อและแม่ผ่อนบ้านหมด และยังมีเหลืออยู่อีกประมาณ 4-5 แสนให้พ่อแม่ได้ใช้ดูแลตัวเองในบั้นปลาย แต่หลังจากประสบอุบัติเหตุ แม่ต้อย-พ่อเลี่ยม ทั้งคู่ต้องเอาเงินก้อนนี้มารักษาตัวและขายทองที่ ปู วิชชุดา เหลือไว้จนหมดเกลี้ยง

“คุณเชื่อมั้ยทองเส้นสุดท้ายที่ขายคือเส้นที่ ปู เขาใส่ติดข้อมือตลอด ตอนขายแม่น้ำตาร่วง เดินวนเวียนๆ ร้านทองไม่กล้าตัดสินใจขายเพราะมันอยู่ติดมือลูกจนวันสุดท้ายของชีวิตเขา แต่พ่อบอกว่าของนอกกายไม่ได้ใช้ก็ขายไป อย่ายึดติด” ถึงตรงนี้ แม่ต้อย แม้แววตาจะมีน้ำตา แต่เธอก็ยังยิ้มน้อยๆ เมื่อเอ่ยถึงความทรงจำเกี่ยวกับลูกสาว

ซากรถตู้ที่ขายได้ 15,000 บาท
ซากรถตู้ที่ขายได้ 15,000 บาท

“ส่วนรถตู้ของพ่อหลังประสบอุบัติเหตุ ขายซากทิ้งได้ 15,000 บาท เพราะซ่อมไม่ได้แล้ว แต่เงินนี้ไม่ได้ใช้สักสลึงเพราะลูกชายมาขอยืมไป**

ตอนนี้ตั้งแต่บาดเจ็บก็เลยทำงานกันไม่ไหว หลังเกิดเหตุแม่ช่วยตัวเองไม่ได้อยู่ครึ่งปีเต็มๆ ใส่เสื้อผ้า ทำอะไรไม่ได้ จะลุกจะนั่งก็ไม่ได้ เพราะต้องใส่เหล็ก ก็ได้พ่อนี่แหละดูแล พ่อต้องยกแม่ขึ้นไปเข้าห้องน้ำ น้ำก็อาบไม่ได้ พ่อเช็ดตัวให้”

หากเป็นเช่นนั้นหลังร่างกายต้องบาดเจ็บเรื้อรังจากอุบัติเหตุไปทำงานไม่ได้ แม่ต้อยและพ่อเลี่ยม มีรายได้มาจากไหน?คำตอบของแม่คือไม่มี

ตอนนี้ แม่ต้อย นำเสื้อผ้าของ ปู วิชชุดา มาขายในเฟซบุ๊กแฟนเพจชื่อ “เสื้อผ้าและเครื่องประดับของ ปู วิชชุดา สวนสุวรรณ” ซึ่งก็มีแฟนคลับของนางเอกสาวผู้ล่วงลับมาช่วยกันซื้อ เมื่อเราถามแม่ว่าทำใจยากไหมที่ต้องขาย

“ยากมากค่ะ เก็บไว้นานมาก ตอนนี้ของไม่ได้ใช้ ของนอกกายยังไงลูกก็อยู่ในใจเราอยู่แล้ว ก็เลยเอามาขายให้พอมีรายได้ ก็ขายได้บ้างแฟนคลับเขาช่วยซื้อกัน”

และเมื่อไม่มีทางเลือก หนทางสุดท้ายจริงๆ เพื่อจะมีเงินมาใช้ชีวิตในบั้นปลาย แม่ต้อยตัดสินใจจะขายบ้าน

ตัดสินใจจะขายบ้านหลังนี้
ตัดสินใจจะขายบ้านหลังนี้

“ลูกชายเคยบอกว่าในเมื่อแม่ไม่มีเงินก็ขายบ้านเอาเงินสิ ซึ่งแฟลตคลองจั่นที่ครอบครัวเราเคยอยู่กับลูกกัน 4 คนยังอยู่ ให้คนเช่าไว้ แต่กำลังคิดว่าอาจจะขายแฟลต ใจจริงอยากขายบ้านที่ธัญบุรีมากกว่า เพราะถ้าไปอยู่แฟลตมันมันใกล้หมอเดินทางสะดวกกว่า ค่ารถไม่แพง

แต่บ้านที่ธัญบุรีมันขายไม่ได้เพราะบ้านมันโทรมและไกล ขายยากมาก ใจจริงแม่อยากไปอยู่คลองจั่น แต่ถ้าขายทางนี้ไม่ได้จริงๆ ก็ต้องตัดใจขายแฟลตคลองจั่นจะได้เอาเงินมาใช้จ่าย เพราะเราเองตอนนี้ก็ทำงานไม่ได้ รายได้ไม่มีทางไหนเลย ก็ต้องพยายามหาเงินนี้เพื่อจะเป็นก้อนสุดท้ายในการใช้ชีวิตที่เหลือ”

*"ต่อไปนี้เราต่างคนต่างอยู่" คำพูดจากเลือดในอก *

คุยกันมาถึงตรงนี้เราตัดสินใจถามคำพูดของแม่ต้อย ที่บอกว่า "กับลูกชายไม่ได้คุยกันเลย" ว่าเกิดอะไรขึ้นว่าทำไม่ได้คุยกัน แม่ต้อย เล่าว่ามีเหตุการณ์ที่ปะทะกันเกิดขึ้นก่อนการแต่งงานของลูกชายจนก่อให้เกิดเมฆดำกลางใจจนทำให้ไม่ได้คุยกันอีกเลยกับลูกชาย

“เขาจะทำในสิ่งที่สำหรับแม่ แม่รับไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่โบราณเขาถือว่าไม่เป็นมงคล ตามความเชื่อจะไม่ดีถึงชีวิต แม่เสียพี่ปูไปแล้ว แม่กลัวจะต้องเสียลูกไปอีกคน เลยขอให้เขาชะลอเรื่องนั้นไปก่อน แต่สุดท้ายเขาไม่ยอม ลูกเข้ามาบอกแม่แค่ว่าผมไปแล้วนะ แล้วก็ไปเลย

ตั้งแต่วันนั้นก็ไม่ค่อยได้คุยกัน แม่ย้ายไปทำงานดูแลหอพักที่พัทยา ส่วนพ่อก็ไปขับรถตู้สายกรุงเทพ-พัทยา จากนั้นลูกก็ไม่โทรมาหาแม่ ไม่อะไรทั้งสิ้น จะโทรมาเวลาเขามีธุระ นอกนั้นจะไม่คุยกันเลย ไม่ติดต่อไม่อะไร”

คำพูดที่แม่จุกในอก
คำพูดที่แม่จุกในอก

“มีเหมือนจะดีขึ้นอยู่ช่วงตอนเราเกิดอุบัติเหตุลูกมาดูแลอยู่ แต่เหมือนการที่เขามามันทำให้เขาทะเลาะกับทางโน้น เราก็ถามว่าแล้วมาทำไม เขาบอกเขาเลือกแม่ ถ้าเขาไม่มาดู แล้วใครจะมา

พอเราออกจากโรงพยาบาลต้องไปตามหมอนัด เราโทรหาลูกให้พาไปหน่อย เราไปกันไม่ไหว เพราะเจ็บหลังที่หักมาก เขาก็จะติดนู้นติดนี้ตลอด เราก็เลยโอเค รู้ละว่าเขาคงมีปัญหากับอีกฝ่ายถ้ามาหาเรา ก็ไม่เป็นไรเดี๋ยวเราไปกันเอง

หลังจากนั้นก็คุยกันน้อยลง จนแม่ไปออกรายการนึงก่อนวันแม่ เขาก็ถามแม่ว่าประมาณว่าลูกไม่ได้มาดูแลใช่ไหม ก็บอกว่าเขามีครอบครัวไปแล้ว พิธีกรก็ถามว่า มีคนห้ามเหรออะไรประมาณนี้ แม่ก็บอกประมาณนั้น ถ้าใครดูนะแม่จะไม่ค่อยพูดอะไรเลย ไม่อยากพูดถึงเขาค่ะ พอรายการออกแม่นั่งดูยังไม่ทันจบเลย โดนโทรมาด่า

จนลูกเราโทรมาวันที่ 11 ส.ค.จำได้แม่นเลยปี 2559 ก่อนวันแม่ 1 วัน แม่ก็ถามเขาว่าได้ดูจนจบไหม เขาบอกไม่ได้ดูทางนั้นบอก เราก็ถามว่าทำไมลูกเราถึงไม่ดูก่อน ดูก่อนสิว่าแม่บอกอะไร แม่แทบไม่พูดอะไรเลยนะ จนวันนั้นเขาบอกแม่ว่าต่อไปนี้ก็ต่างคนต่างอยู่ แม่ไม่ต้องเกี่ยวข้องกันอีกนะ**

ได้ยินคำนั้นแม่ใจหล่นเลยนะ (น้ำตาไหล) เหมือนเราหยุดหายใจไปชั่วขณะ ก็ได้แต่บอกเขาไปว่าแล้วแต่ลูกเลย แต่การเป็นแม่ยังเป็นแม่ของลูกเสมอ รักลูกตลอด ตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้ก็ไม่คุยกันเลย 3 ปีแล้ว เขาก็ไม่ติดต่อมา

แววตาในวันนี้ที่ไม่มีกำลังใจในชีวิตของแม่ต้อย
แววตาในวันนี้ที่ไม่มีกำลังใจในชีวิตของแม่ต้อย

ตอนนี้ชีวิตแม่ก็เลยเหมือนสูญเสียลูกไปแล้วสองคน ตายจากแบบไม่มีลมหายใจกับมีลมหายใจมันเจ็บคนละแบบ คนเป็นแม่เจอจะรู้เลย อย่างพ่อเขาไม่ค่อยเท่าไหร่ เขามีอะไรถึงลูกเขาจะพูดผ่านแม่ อะไรที่ลูกพูดมาไม่ดี เราก็ไม่อยากพูด เดี๋ยวพ่อเขาจะเจ็บเหมือนเรา เราเจ็บคนเดียวก็ได้

ตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ไม่เคยได้เจอหน้าลูก วันนั้นเจอเขาที่แฟลตเขายังไม่ทักเลย พ่อกับแม่นั่งอยู่ที่ใต้ตึกก็ไม่หันมอง เดินผ่านไปไม่ทัก

แต่แม่ไม่ได้โกรธอะไรเขานะแต่เสียใจ เสียใจมาก คือเราไม่ได้คิดให้เขามาเลี้ยงดูเราอยู่แล้ว แต่ว่าการที่เขาไม่ฟังอะไรเราเลย ทุกวันนี้ถ้าเขากลับมาแม่ก็โอเค แต่เขาไม่มาเราจะไปทำอะไรเขาได้ แต่ให้แม่โทรไปหาแม่ไม่โทร ให้แม่โทรไปให้มาหาฉันหน่อย มันไม่ได้ภูมิใจถ้าเขาไม่มาเอง ถ้าเขามาเองเรายังภูมิใจว่าเขาคิดถึงเรา

ดูแลกันสองคนตายาย
ดูแลกันสองคนตายาย

*ถ้าเกิดวันนี้แม่ตายก่อนนะ ไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะแม่บริจาคร่างกายไว้แล้ว เสียให้แม่แค่ 3 บาทโทรไปบอกโรงพยาบาลให้เขามาเอาไป ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น ขนาดที่บริจาคเขาถามว่าเผาอาจารย์ใหญ่ให้เชิญใครบ้างจะเก็บขี้เถ้า กระดูกอะไรไหม ตายแล้วจะสวดก่อนไหม แม่ก็บอกเขาไปว่าไม่เอาอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องเชิญใครคุณจัดการได้เลย”*

แม่ต้อย บอกเราว่าทุกวันนี้ไม่มีกำลังใจในการใช้ชีวิต เพราะไม่รู้จะเอามาจากไหน"ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นโรคซึมเศร้าหรือเปล่า เพราะโรคนี้เป็นอย่างไรแม่ก็ไม่รู้ แม่รู้แต่ว่าชอบอยู่คนเดียว ไม่รู้จะไปคุยอะไรกับใคร ก็มีแต่พ่อที่คุยกัน แต่เรื่องอะไรที่หนักๆ ก็จะไม่บอกแกไม่อยากให้แกเครียด"

ปิดท้ายการสนทนาในวันนั้น แม่ต้อย บอกเราว่า "บางทีก็อิจฉาคนที่เขาหลับแล้วตายไปเลย ทำไมเราไม่หลับแล้วตายๆ ไปบ้าง ทุกวันนี้อยากตายแต่ไม่ตายก็เลยต้องสู้ต่อไป รอสักวันเดี๋ยวก็ได้เจอลูกปูแล้ว"

แม้ประโยคอาจจะดูทดท้อ แต่รอยยิ้มบางๆ ของแม่ที่ยิ้มให้เราในประโยคสุดท้าย "ต้องสู้ต่อไป" ก็ทำให้ใจชื้นว่า แม่ต้อย สู้จริงๆ เราเชื่ออย่างนั้น.

เมื่อคิดถึงกันมองรูปลูกสาวให้บรรเทา
เมื่อคิดถึงกันมองรูปลูกสาวให้บรรเทา

ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง

ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath

0 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0
reaction icon 0